หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ชาวป่ากินคน | เรื่องเล่าจากพระธุดงค์ | ชาวป่าข่าระแดกินคน

    100 เรื่องเล่า
    670,600 views
    Aug 29, 2021

    เรื่องเล่าจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่ตื้อ อจรธัมโม เมื่อครั้งยังเป็นพระธุดงค์หนุ่มเดินทางไปจาริกธุดงค์ที่ ป่าเขา ฝั่งประเทศลาว และได้เผชิญกับชาวป่ากินคนเผ่าหนึ่ง เรียกว่า ชาวป่า ข่าระแด ซึ่งเป็นคนป่าที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร ตอนนั้นจะเข้ามาทำร้ายท่านทั้งสอง ด้วยการยิงหน้าทึ่น ใส่ท่านทั้งสอง แต่ด้วยปาฏิหารย์ ลูกดอกอาบยางน่องที่มีพิษร้ายแรงนั้น ได้ตกร่วงหล่นอยู่ห่างจากกลดประมาณ 1 วา ไม่ได้ถูกพระธุดงค์ทั้งสองแต่ประการใด หลังจากนั้น พวกคนป่าต่างก็เกรงกลัวท่านทั้งสอง ว่าเป็นหมอผีผู้วิเศษจากแดนไกล จึงได้เชิญท่านไปอยู่ที่หมู่บ้านเพื่อรักษาคนผีเข้า แต่คนไข้นั้นเป็นไข้ป่า ท่านจึงได้รักษาจนหาย และได้สั่งสอนพวกคนป่าเหล่านั้นจน ซึมซับเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เข้าไปบ้าง ท่านทั้งสองจึงได้จากลาเพื่อเดินธุดงค์ต่อไป
    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดถูกประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ดวยครับ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่ทวด

    หลวงตา
    20,507 views Dec 17, 2021
    สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ (สมเด็จเจ้าพะโคะ,หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ทวดวัดช้างให้)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049

    เปิดที่มาความศรัทธา "หลวงปู่ทวด" คาถา บทสวด เพื่อความแคล้วคลาด
    หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" และ "หลวงปู่ทวดวัดช้างให้" ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวปักษ์ใต้ที่นิยมกราบไหว้บูชา เนื่องจากเชื่อว่าบารมีหลวงปู่ทวดจะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
    ประวัติ และความเชื่อเรื่อง "หลวงปู่ทวด"
    หลวงปู่ทวด เป็นพระสงฆ์ที่มีชีวิตอยู่จริงในสมัยอยุธยา รัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ประวัติหลวงปู่ทวดอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ขึ้นอยู่กับตำนานในแต่ละท้องถิ่น แต่เรื่องเล่าหลักค่อนข้างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

    ราวปี พ.ศ. 2125 นายหู และนางจันทร์ ชาว อ.สทิงพระ จ.สงขลา ได้ให้กำเนิดลูกชาย ตั้งชื่อให้ว่า "ปู" โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พ่อแม่ผูกเปลลูกไว้กับต้นเม่าระหว่างที่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ในนา แต่ปรากฏว่ามีงูจงอางตัวใหญ่เลื้อยมาพันรอบเปล ทั้ง 2 คนจึงตั้งจิตอธิษฐานไม่ให้งูจงอางทำร้ายลูก หลังจากนั้นงูก็คลายรัดเปลและเลื้อยหนีหายไป ทว่าได้คายเมือกแก้วทิ้งไว้บนตัวทารกด้วย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่แวววาว

    เมื่อเศรษฐีที่เป็นเจ้านายของนายหู และนางจันทร์ รู้เรื่องเข้า ได้บังคับเอาลูกแก้วมาเก็บไว้เอง แต่ชีวิตกลับเจอแต่อุปสรรค ฐานะความเป็นอยู่เริ่มขัดสน จึงต้องคืนลูกแก้วให้แก่เด็กชาย พร้อมทั้งยกหนี้สิน และปลดปล่อยนายหู และนางจันทร์ ให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสในเรือนเบี้ย
    ต่อมาเมื่อเด็กชายอายุ 7 ปี พ่อแม่ส่งไปเรียนหนังสือกับพระอาจารย์ที่วัด และได้บวชเป็นสามเณรเพื่อศึกษาธรรมะ ซึ่งวัดที่ท่านได้เล่าเรียนก็คือ วัดดีหลวง และวัดสีหยัง ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอยู่จริง ตั้งอยู่ใน อ.สทิงพระ จ.สงขลา ท่านได้เดินทางไปเรียนนักธรรมที่ จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะเดินทางธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธา และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากสมเด็จพระเอกาทศรถ


    Dtbezn3nNUxytg04acvK3GjVE1BaBWrLfU7k75JqFmTShi.jpg
    องค์หลวงปู่ทวด ประดิษฐาน ณ วัดพะโคะ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ"
    อภินิหารที่มาของ "หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"
    ผู้ที่นับถือหลวงปู่ทวดเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาที่น่าเลื่อมใสศรัทธา มีเรื่องราวอภินิหารที่เล่าสืบต่อกันมานานกว่า 400 ปี จนกลายเป็นที่มาของคำว่า "หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด" ดังนี้

    สมัยที่ท่านยังมีชีวิต ท่านได้ขออาศัยเรือสำเภาเพื่อเดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา แต่ระหว่างทางเกิดพายุลมมรสุม ทำให้เรือสำเภาต้องจอดพักที่เกาะแห่งหนึ่งจนน้ำดื่มหมด ลูกเรือต่างพากันคิดว่า ตั้งแต่เดินเรือมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่เมื่อรับพระสงฆ์รูปนี้ขึ้นเรือก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนลำบาก จึงคิดวางแผนปล่อยหลวงปู่ทวดไว้ที่เกาะ ทว่าท่านได้แสดงอภินิหารด้วยการจุ่มเท้าซ้ายลงในน้ำทะเล ปรากฏว่าน้ำบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำจืดที่สามารถดื่มกินได้ ทำให้เจ้าของเรือต้องขมาท่าน และนิมนต์ขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยาต่อไป
    นขณะที่บางตำนานก็เล่าว่า มีโจรสลัดจับท่านขึ้นเรือเพื่อหวังลองดี แต่เรือกลับแล่นต่อไม่ได้ ลอยอยู่กลางทะเลหลายวันจนน้ำดื่มหมด ท่านจึงจุ่มเท้าซ้ายลงในทะเล ทำให้น้ำทะเลบริเวณที่ท่านจุ่มเท้าลงไปกลายเป็นน้ำจืดให้ดื่มกิน เหล่าโจรจึงเกิดความศรัทธา กราบไหว้ขอขมา นำท่านมาส่งกลับ เมื่อประชาชนรู้ข่าวก็พากันเลื่อมใสท่านนับตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน


    นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อด้วยว่า "ไอ้ไข่เด็กวัดเจดีย์" แห่งวัดเจดีย์ ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทวด ที่รักษาสัจวาจาในการดูแลรักษาวัดเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา

    Dtbezn3nNUxytg04acvK3GjVE1BaBWrLZuQQU3R9Sysnl7.jpg
    "หลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคล" อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร ถือเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
    ทั้งนี้ หลวงปู่ทวด อาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปแล้วแต่พื้นที่ ชาวปักษ์ใต้นิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อทวด" ตามประวัติเล่าว่าเมื่อท่านอายุ 80 ปี ได้เดินทางกลับจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อมาจำพรรษาที่วัดพะโคะ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ทำให้ชาวบ้านเรียกท่านว่า "สมเด็จเจ้าพระโคะ" หรือ "หลวงปู่ทวด วัดพะโคะ" ขณะเดียวกัน ท่านก็เคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดช้างให้ อ.โคกโพธ์ จ.ปัตตานี และได้สั่งให้บรรจุอัฐิท่านไว้ ณ วัดแห่งนี้ ทำให้ลูกศิษย์เรียกท่านว่า "หลวงปู่ทวด วัดช้างให้"

    นอกจากพื้นที่ทางภาคใต้ ยังมีการประดิษฐานหลวงพ่อทวด พระนามาภิไธย ส.ก. หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร ณ วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่ง "หลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคล" ถือว่าเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนทางภาคกลางก็มีการสร้าง "อุทยานหลวงปู่ทวด" หรือ "พุทธอุทยานมหาราช" ประดิษฐานหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่สีทอง ความสูงจากฐานรวม 51 เมตร อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ให้ชาวไทยทั่วประเทศได้เดินทางไปกราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล

    หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน 2497 ที่เซียนพระเมืองไทยตามหา
    เรื่องราวตำนานและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด ทำให้เหล่าเซียนพระนิยมหาเช่าองค์หลวงพ่อทวดมาบูชา เนื่องจากเชื่อว่ามีพุทธคุณคุ้มครองผู้บูชาให้มีสิริมงคล รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ สำหรับรุ่นที่หายากที่สุดคือ "หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน 2497" เป็นรุ่นที่วัดช้างให้พิมพ์ใน พ.ศ. 2497 ผสมมวลสารดินกากยายักษ์ และว่านประเภทต่างๆ มีลักษณะเป็นรูปหลวงปู่ทวด องค์สีดำหรือเทา เรียกได้ว่าเป็นพระเครื่องที่เซียนพระเมืองไทยตามหากันมากที่สุด ราคาอยู่ที่หลักหลายแสนบาท ซึ่งหากจะพิจารณาว่าของแท้หรือเทียมนั้น ต้องอาศัยความชำนาญอย่างถี่ถ้วนเลยทีเดียว
    บารมีของหลวงปู่ทวดจะคุ้มครองผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี และดำเนินชีวิตด้วยการทำมาหากินที่สุจริต
    คาถาบูชาหลวงปู่ทวด ให้แคล้วคลาดปลอดภัย


    สำหรับการบูชาหลวงปู่ทวดเพื่อความเป็นสิริมงคล ให้จุดธูปแขก 9 ดอก มะลิขาว 9 ดอก พร้อมกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้า และตามด้วยคาถาบูชาหลวงปู่ทวด ดังนี้

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ

    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

    คำแปล : "ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชคซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของข้าพเจ้า"

    ผู้ที่เลื่อมใสบูชาในหลวงปู่ทวด เชื่อว่าอานุภาพของคาถาบทนี้จะช่วยดลบันดาลให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ชาวใต้จะนิยมนำองค์หลวงปู่ทวด กลัดไว้กับเสื้อของทารกเพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคล อีกทั้งสวดเมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ที่สวดบูชาเพื่อขอให้บารมีของหลวงปู่ทวดคุ้มครอง จะต้องเป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี และดำเนินชีวิตด้วยการทำมาหากินที่สุจริต
    :- https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2015244
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2021
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่ดูลย์ เผชิญควายป่าอาฆาต

    หลวงตา
    6,334 views Dec 12, 2021
    หลวงปู่ดูลย์ เผชิญควายป่าอาฆาต จากประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) วัดบูรพาราม (พระอารามหลวง) จ.สุรินทร์
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpchaoomkatasaro.jpg
    นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ
    บารมีหลวงพ่อชอุ้มคุ้มครอง

    อาจารย์ยอด : หลวงพ่อชอุ้ม เทพเจ้าต้นน้ำเจ้าพระยา [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    84,164 views
    Oct 31, 2021

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ประวัติหลวงพ่อชอุ้ม กตสาโร วัดตะเคียนเลื่อน | ล่าตำนาน EP:2

    ล่า เลขเด็ด
    6,129 views Nov 19, 2020
    ประวัติพระครูนิวิฐวรคุณ หลวงพ่อชอุ้ม กตสาโร เจ้าอาวาสวัดตะเคียนเลื่อน ทางรายการ ล่าตำนาน จัดทำวีดีโอนี้ขึ้นเพื่อ เล่าประวัติความเป็นมาและอภินิหารของหลวงพ่อชอุ้ม กตสาโร ที่หลายคนอาจไม่ทราบ (ทางรายการไม่ได้มีเจรตนาล่วงเกินแต่อย่างใด แต่เพียงต้องการให้ทุกท่านได้ทราบประวัติของหลวงพ่อเท่านั้น หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดไป หรือ การกระทำที่ไม่เหมาะสม ทางรายการต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่แฟ๊บ พระที่พญานาคและเทวดามาขอฟังธรรมเป็นประจำ// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ตามประวัติ หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เทศก์ เทสรังสี หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ต่อจากนั้นท่านก็เร่งทำความเพียรเป็นเวลาหลายปี ตลอดระยะเวลาที่ทำความเพียร ก็มักจะมีเหล่าพญานาคและเทวดาแวะเวียนมาหา มาขอฟังธรรมและสนทนาธรรมเป็นประจำ..
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049

    ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท

    วัดป่าดงหวาย
    ต.ม่วง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
    โพสท์ในเวบ
    www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20128
    โดย สาวิกาน้อย เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2007
    อัตโนประวัติ


    lp-fab-01.jpg
    “หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท” มีนามเดิมว่า ญาติ กุลวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๕ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีจอ ณ บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน) โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายพรหมมา และทุมมา กุลวงศ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา ตามวิถีชีวิตชาวชนบทอีสาน มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕
    เพราะเหตุบางประการในการแจ้งชื่อในทะเบียนทหารกองเกิน เมื่อช่วงอายุ ๑๗-๑๘ ปี ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น “แฟบ” และวันเวลาเกิดก็ผิดพลาดไปด้วย จึงต้องใช้ชื่อวันและเวลาเกิดใหม่จากนั้นเป็นต้นมา ต่อมาลูกศิษย์ลูกหาได้เรียกชื่อเพี้ยนเป็นหลวงปู่ “แฟ้บ” หรือ “แฟ๊บ” หรือ “แฟ็บ” ไป

    หลวงปู่เป็นพระกัมมัฏฐานที่วัตรปฏิบัติเรียบง่ายปฏิปทาอันงดงาม ด้วยครองตนอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์อย่างสมถะ ไม่สะสมทรัพย์สินใดๆ มักน้อย ถือสันโดษ มีเมตตาธรรมสูง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น และเป็นร่มโพธิ์ทองของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
    การศึกษาเบื้องต้น
    หลวงปู่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ เมื่อโยมมารดาถึงแก่กรรมตอนอายุได้ ๗ ปี โยมบิดาก็ได้แต่งงานใหม่ ทำให้หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในสมัยนั้นหมู่บ้านอยู่ในชนบทห่างไกลมาก จึงไม่มีโรงเรียนทำไม่ได้รับการศึกษาต่อ ดังนั้นท่านจึงช่วยเหลืองานของโยมบิดาเรื่อยมา จนกระทั่งถึงอายุ ๑๖ ปี จึงย้ายกลับมาอยู่กับพี่ชายคนที่ ๒ คือ นายบุญ กุลวงศ์ ที่บ้านเดิม
    ในวัยเยาว์นั้น มีเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจและปลูกศรัทธาความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและพระธุดงค์กรรมฐานเป็นอย่างมาก เมื่อได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการพระบูรพาจารย์ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีลมหาเถร และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ณ ถ้ำจำปากันตสีลาวาส (ถ้ำจำปา) บนภูผากูด บ้านคันแท ตำบลหนองสูง อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน

    lp-fab-04.jpg
    เนื่องจากหลวงปู่มั่นเห็นว่าการที่หลวงปู่เสาร์ปรารถนาบำเพ็ญบารมีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จะทำให้ล่าช้าต่อการบรรลุมรรคผลและนิพพาน เพื่อแนะแนวทางให้กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นจึงได้เดินทางมาที่ถ้ำจำปา บนภูผากูด ซึ่งหลวงปู่เสาร์ได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น ต่อมาท่านทั้งสองได้ออกเดินธุดงค์มาแวะใกล้บริเวณหมู่บ้าน หลวงปู่จึงมีโอกาสได้พบกับท่านทั้งสอง เพราะชาวบ้านไปถางป่าจัดทำสถานที่พักไปฟังเทศน์ หลวงปู่ก็ตามชาวบ้านไปด้วย หลวงปู่มีโอกาสช่วยงานต่างๆ และทำทางเดินจงกรมให้กับหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นด้วย
    การอุปสมบทครั้งแรก
    ครั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ หลวงปู่ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ญัตติฝ่ายมหานิกาย เป็นครั้งแรก ณ วัดในหมู่บ้าน ได้รับนามฉายาว่า “จันตโชโต” อุปสมบทได้เพียง ๒ พรรษาเท่านั้น โดยในพรรษาแรกได้เรียนภาษาบาลีจนสามารถอ่านออกเขียนได้ และในพรรษาที่ ๒ หลวงปู่อยากจะเรียนนักธรรมเพราะเมื่อได้นักธรรมโทแล้วก็จะลาสิกขาเพื่อไปเป็นครูสอนนักเรียน แต่พระครูต้องการให้เรียนพระปาฏิโมกข์ หลวงปู่ไม่ชอบจึงได้ลาสิกขา
    ชีวิตครอบครัว
    หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้ประกอบอาชีพค้าไหมจนมีเงินสะสมมากพอ จึงแต่งงานกับนางคำมา สุวรรณไตร พออายุได้ ๓๒ ปี จึงเปลี่ยนอาชีพมาทำนา และย้ายครอบครัวมาอยู่ที่บ้านบุ่งเลิศ ตำบลบุ่งเลิศ อำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด มีบุตร-ธิดารวมทั้งหมด ๑๒ คน มีรายชื่อตามลำดับดังนี้


    lp-fab-03.jpg
    ๑. นางเหมือน กุลวงศ์ อาชีพแม่บ้าน
    ๒. พระอาจารย์ทองมาย อริโย วัดป่ากลางทุ่ง ตำบลศรีสุทโธ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
    ๓. นางทองสาย แก้วมาก อาชีพทำนา
    ๔. แม่ชีสมหมาย กุลวงศ์ ปัจจุบันอยู่ ณ วัดป่าดงหวาย
    ๕. นายอุดม กุลวงศ์ อาชีพรับราชการครู
    ๖. นายสมศักดิ์ กุลวงศ์ อาชีพรับราชการครู
    ๗. นายภักดี กุลวงศ์ อาชีพรับราชการทหาร
    ๘. พระอาจารย์ศรีธาตุ ฐานรโต วัดถ้ำมะค่า ตำบลคำเพิ่ม อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร
    ๙. นายผดุง กุลวงศ์ อาชีพรับราชการตำรวจ
    ๑๐. นางคำซ้อน อินทัง อาชีพช่างเสริมสวย
    ๑๑. นางอ่อนจันทร์ ประเสริฐสังข์ อาชีพช่างเย็บผ้า
    ๑๒. นางวรรณา กุลวงศ์ อาชีพค้าขาย
    การดำเนินชีวิตในขณะนั้น หลวงปู่ประพฤติตนเป็นพุทธมามกะ โดยเป็นมัคทายกของวัดในหมู่บ้าน และยังเป็นหัวหน้าช่างก่อสร้าง ได้ออกแบบควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงลงมือก่อสร้างกุฏิศาลา และกำแพงของวัดเองทั้งหมด โดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ เลย
    เมื่อครั้งที่นางคำมา ภรรยาของหลวงปู่ ตั้งครรภ์ที่ ๒ ได้ ๖ เดือน ในคืนหนึ่งหลวงปู่ฝันว่า กำลังจะเดินทางกลับบ้านหลังจากทำนาเสร็จแล้ว เกิดมีน้ำป่าไหลมา มองไปทางไหนก็มีแต่น้ำท่วมจนสุดสายตา แต่มีเนินดินที่น้ำท่วมไม่ถึงพอที่จะให้ขึ้นไปอยู่ได้ จึงไปอยู่ที่เนินดินนั้น ขณะที่หลวงปู่กำลังคิดว่าจะทำไงดีจะกลับบ้านได้อย่างไร ก็มีมีดพร้าเก่าๆ ลอยตามน้ำมาติดอยู่ใกล้ๆ กับท่าน หลวงปู่จึงหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นมีดพร้าของท่านเอง จึงนำไปล้างน้ำจนมีดพร้านั้นเปลี่ยนเป็นเรือทองคำ หลวงปู่จึงขึ้นไปนั่งบนเรือทองคำนั้น แล้วเรือก็พาแล่นไปจนสามารถข้ามน้ำผ่านไปจนเจอถนนหนทาง เรือทองคำแล่นไปบนถนนราวกับเป็นรถยนต์
    เมื่อพิจารณาความฝันนั้นก็เห็นว่า “ลูกคนนี้คงเป็นผู้พาให้เราพ้นจากกองทุกข์เป็นแน่” ซึ่งลูกคนที่ ๒ นี้ คือ พระอาจารย์ทองมาย อริโย นั่นเอง
    ต่อมาหลวงปู่เห็นว่าลูกๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว แต่ละคนก็ได้รับการศึกษาที่ดีคงไม่มีใครคิดที่จะทำนา จึงคิดหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับประกอบอาชีพ หลวงปู่เห็นว่า อำเภอบานดุง จังหวัดอุดรธานี เหมาะสม หลวงปู่จึงได้มาซื้อบ้านแล้วย้ายถิ่นฐานครอบครัวมาอยู่ที่นี่ พร้อมกับได้สร้างห้องแถวสำหรับให้เช่าขึ้น ๖ ห้อง ซึ่งหลวงปู่ลงมือสร้างด้วยตนเอง
    ในขณะที่วัยของหลวงปู่เริ่มมากขึ้น ร่างกายก็อ่อนแอลงไปด้วย แต่ยังต้องทำนาเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวอยู่ ในวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่กำลังจูงควายไปทำนา ๒ ตัว ควายตัวหนึ่งหยุดยืนเพื่อถ่ายมูล ส่วนควายอีกตัวหนึ่งกลับดึงตัวหลวงปู่เซจนล้มลง เพื่อนบ้านมองเห็นเข้าจึงพูดกับหลวงปู่ว่า
    “เฒ่าแล้วจะทำไปทำไมนักหนา ไปทำบุญเข้าวัดเข้าวาได้แล้ว”
    เมื่อหลวงปู่ได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเองเป็นอย่างมากถึงกับน้ำตาไหลออกมา หลังจากนั้นมาทุกวันพระหลวงปู่จะไปทำบุญรักษาศีลที่วัดตลอด และได้ศึกษาการปฏิบัติภาวนา เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นต้น จนเกิดอัศจรรย์เป็นครั้งแรก ขณะปฏิบัติภาวนาในเวลากลางคืน จู่ๆ ก็เห็นแสงขึ้นเหมือนฟ้าแลบ เป็นช่วงๆ แล้วเริ่มถี่ขึ้นๆ จนสว่างจ้าไปหมด หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จึงไม่ได้สนใจเพราะไม่รู้จักอะไรลึกซึ้งนัก และไม่มีผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน ในขณะนั้นความรู้สึกของหลวงปู่มีแต่ความอยากบวช แต่ก็ติดอยู่ที่ครอบครัวจึงยังไม่มีโอกาส ครั้นต่อมานางคำมา สุวรรณไตร ภรรยาของหลวงปู่ ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรควัณโรค ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เมื่ออายุได้ ๕๒ ปี ส่วนหลวงปู่อายุได้ ๕๙ ปี

    lp-fab-05.jpg
    lp-fab-06.jpg

    lp-fab-07.jpg
    lp-fab-11.jpg
    lp-fab-09.jpg
    lp-fab-10.jpg


    lp-fab-08.jpg

    วัดถ้ำจำปากันตสีลาวาส ภูผากูด อ หนองสูง จ.มุกดาหาร

    ๏ การปฏิบัติภาวนา

    lp-fab-02.jpg
    หลังจากที่ภรรยาของหลวงปู่ถึงแก่กรรมไปแล้ว พระอาจารย์ทองมาย อริโย ได้พาหลวงปู่ไปอยู่ที่บ้านวังผา ตำบลสันมะค่า อำเภอป่าแด จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโอกาสที่หลวงปู่สามารถปฏิบัติภาวนาได้อย่างเต็มที่ ในระยะแรกที่ไปนั้นมี พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร แห่งวัดป่าหมู่ใหม่ ตำบลแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่, พระอาจารย์คำแพง อัตตสันโต แห่งวัดบุญญานุสรณ์ (วัดป่าหนองวัวซอ) ตำบลหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และ พระอาจารย์ทองมาย อริโย เป็นผู้ให้คำแนะนำ
    เมื่อใกล้จะเข้าพรรษา พระอาจารย์ประสิทธิ์ได้ย้ายไปพำนักจำพรรษาที่จังหวัดพระเยา จึงเหลือแต่พระอาจารย์คำแพงกับพระอาจารย์ทองมาย เป็นผู้ให้คำแนะนำกับหลวงปู่ ในระหว่างพรรษา ท่านพระอาจารย์ทั้งสองได้แนะวิธีปฏิบัติให้กับหลวงปู่ โดยไม่ให้นอนตอนกลางคืน ให้เดินจงกรม นั่งภาวนา แต่ตอนกลางวันให้พักผ่อนได้เป็นเวลา ๑ เดือน หลวงปู่ก็ปฏิบัติได้จนครบในเดือนแรก ต่อมาในเดือนที่สองให้ฝึกนั่งภาวนาอย่างเดียว ในเวลากลางคืนไม่ให้ลุก ไม่ให้ขยับหรือพลิกตัว โดยค่อยๆ อนุโลมไปเรื่อยๆ เช่น ในคืนแรกขยับตัวกี่ครั้งให้นับไว้ คืนต่อไปต้องขยับตัวให้น้อยกว่าในคืนแรก และค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ หลวงปู่สามารถทำได้โดยไม่ขยับตัวเลยได้ภายใน ๒๐ วัน และทำไปจนครบระยะเวลาในเดือนที่ ๒
    ในเดือนที่ ๓ เมื่อสามารถนั่งภาวนาได้ตลอดคืนแล้ว พระอาจารย์คำแพงจึงแนะนำให้หลวงปู่ตั้งสัจจะโดยกล่าวว่า “ใน ๗ คืนของการนั่งภาวนานี้ ถ้าข้าพเจ้าขยับก็ขอให้รุกขเทวดา พระภูมิเจ้าที่ พระแม่ธรณี จงถอนลมหายใจของข้าพเจ้าให้ตายไปในเวลานั้นทันที ยกเว้นแต่ว่ามีการปวดถ่ายต่างๆ” ในคืนแรกๆ หลวงปู่นั่งไปได้ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง เกิดเวทนาขึ้นมาอย่างหนัก ซึ่งในขณะที่เคยได้ฝึกปฏิบัติก่อนที่จะตั้งสัจจะไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่มีการปวดถ่ายเลย ซึ่งปกติในแต่ละคืนนั้นจะต้องปวดถ่ายบ้างซักครั้งสองครั้ง แต่นี่มีเวทนาเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา จนตัวสั่น น้ำตา น้ำมูกไหลท่วมเต็มไปหมด แต่ด้วยสัจจบารมีและขันติบารมีของหลวงปู่ ท่านจึงอดทนอยู่ได้จนถึงเช้า
    เมื่อผ่านพ้นไปห้าคืน ในคืนที่ ๖ ไม่มีเวทนาเกิดขึ้นเลย มีแต่อาการมึนชาของร่างกาย และมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น มีลมดันขึ้นมาจากขากับมือทั้ง ๒ ข้าง เหมือนน้ำที่ไหลอยู่ในสายยางจนเข้ามาจุกอยู่บริเวณหน้าอก ความคิดของหลวงปู่ในตอนนั้นมีแต่ว่า “ตายแน่ๆ เราต้องตายแน่ๆ” หลวงปู่ควบคุมสติจนรู้สึกว่าลมนั้นได้เลื่อนมาจุกอยู่บริเวณคอหอย ความรู้สึกต่างๆ เวทนาต่างๆ หายไปหมด ว่างไปหมด หลวงปู่บอกว่าในตอนนั้นว่างไปหมด ไม่มีสังขาร ไม่มีเวทนา มีแต่จิตล้วนๆ เพราะเมื่อมองดูร่างกายก็ไม่มี เห็นแต่ผ้าปูนั่ง มีแต่ผู้รู้อย่างเดียว ก็คิดไปว่า “นี่ เราคงจะตายไปแล้ว”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2021
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    lp-fab-13.jpg

    เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นพระอาจารย์ทั้ง ๓ นั่งอยู่ตรงหน้า (พระอาจารย์ประสิทธิ์, พระอาจารย์คำแพง และพระอาจารย์ทองมาย) หลวงปู่จึงเข้าไปกราบพระอาจารย์ทั้ง ๓ พร้อมคิดว่า “นี่ ครูบาอาจารย์คอยดูเราอยู่ตลอด” เมื่อกราบเสร็จจิตก็ถอนออกจากสมาธิ


    ความรู้สึกตอนนั้นจิตใจปลอดโปร่ง แล้วก็มานั่งทบทวนพิจารณาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อทบทวนไปๆ จิตก็เกิดเข้าสมาธิอีกครั้ง จนถึงเวลาประมาณ ๐๙.๐๐ นาฬิกา จิตจึงได้ถอนจากสมาธิอีกครั้ง จึงรีบไปเล่าเหตุการณ์และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับพระอาจารย์ฟังจนพระอาจารย์กล่าวชมและให้หลวงปู่รักษาไว้ให้ดี ต่อจากนั้นมาการภาวนาจิตของหลวงปู่ก็จะสงบเป็นสมาธิ ตลอดจนมีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้น เช่น


    นิมิตที่ ๑ ปรากฏเห็นเป็นผู้หญิงสาวมาเต้นระบำรำฟ้อนอยู่ใกล้ๆ กับหลวงปู่อย่างสนุกสนาน หลวงปู่เกิดความเบื่อหน่ายสลดสังเวชกับนิมิตที่เห็น ไม่ได้หลงไปในความเพลิดเพลินสนุกสนานนั้น เมื่อคิดเช่นนี้นิมิตเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย


    นิมิตที่ ๒ เห็นดวงแก้วสว่างไสว มีขนาดใหญ่ประมาณล้อเกวียนมาวนอยู่รอบตัวของหลวงปู่ ๓ รอบ แล้วมาลอยอยู่ตรงหน้า ดวงแก้วนั้นมีแสงสว่างสดใส เจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ ลอยอยู่อย่างนั้น จนจิตถอนออกจากสมาธิ หลวงปู่มีความสงสัยกับนิมิตที่เกิดขึ้น จึงไปขอคำแนะนำจากอาจารย์คำแพง ซึ่งท่านได้แนะนำว่าให้แต่งขันธ์ ๕ แล้วให้อัญเชิญมาที่ขันธ์ ๕ อย่าไปไล่จับอย่าไปบีบ เพราะจะเป็นตัณหาความอยาก แล้วให้อัญเชิญเข้าตัว ถ้าเป็นดวงธรรมของเราก็จะทำสำเร็จ


    นิมิตที่ ๓ หลังจากได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์แล้ว หลวงปู่รีบปฏิบัติตามจนปรากฏดวงแก้วอีกครั้ง หลวงปู่ได้อธิษฐานคำอัญเชิญ “ถ้าเป็นดวงธรรมของข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาหลายภพหลายชาติแล้ว ขอให้มาอยู่ที่ขันธ์ ๕ นี้” หลังจากนั้นดวงแก้วก็ลดขนาดลงจนมีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยแล้วลอยลงมาอยู่ที่มือ หลวงปู่จึงได้อัญเชิญอีกครั้ง ในครั้งนี้ได้เข้าไปในตัวของหลวงปู่ และมีเสียงพูดขึ้นมาว่า “ยังไม่เข้าหรอกเพราะยังไม่มีมรรค ๘ ถ้ามีมรรคเมื่อไรแล้วจะมา” หลังจากนั้นจึงไปเล่าให้พระอาจารย์ฟังอีกครั้ง ท่านชมว่า “อย่างนี้ร้อยคน พันคน จะมีสักคนหนึ่ง รักษาไว้ให้ดีนะ”


    ๏ พบหลวงปู่หล้า เขมปัตโต


    lp-fab-14.jpg
    เมื่อออกพรรษาแล้วได้กลับมาอยู่บ้านที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ต่อมาลูกชายคนที่ ๗ คือ นายภักดี กุลวงศ์ จะแต่งงาน หลวงปู่ได้ไปจัดงานแต่งงานตามประเพณี เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างการเดินทางกลับจากงานแต่งงาน หลวงปู่ได้แวะไปที่วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) ตำบลหนองสูงใต้ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งมี หลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่จึงขอพักปฏิบัติภาวนาสัก ๓ วัน ตอนเช้าในเวลาที่พระกำลังจะฉันจังหัน หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ได้ให้เณรจัดแต่งภาชนะและที่นั่งทานอาหารไว้ให้หลวงปู่ โดยให้นั่งอยู่ต่อจากเณร แต่หลวงปู่เห็นว่าไปทานที่โรงครัวจะดีกว่า


    หลวงปู่หล้าจึงพูดว่า “ไม่ได้ นี่ไม่ใช่โยมนะ นี่มันดีกว่าเณรอีกนะเนี่ย” แล้วท่านยังหันไปพูดกับพวกญาติโยมที่มาจังหันที่วัด ว่า “พวกเจ้ามัวแต่เฝ้าต้นเฝ้าลำอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร แต่คนที่จะเอาไปกินนี่ ! ผู้นี่” แล้วชี้ไปที่หลวงปู่ ทำให้หลวงปู่รู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย


    เมื่อกลับบ้านมีชาวบ้านผู้รู้ถึงกิตติศัพท์ของหลวงปู่ จึงได้พากันมาขอให้หลวงปู่เทศนาให้ฟัง ซึ่งหลวงปู่ก็เทศนาเกี่ยวกับการรักษาศีล การทำบุญทำทานตลอดมา ในช่วงเวลานั้นหลวงปู่มีแต่ความตั้งใจและความรู้สึกอยากจะออกบวช ครั้นเมื่อหลวงปู่จัดการธุระและภาระต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงเดินทางไปเข้านาคอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาส ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี กับท่านเจ้าอธิการสมจิต หลวงปู่เข้านาคเป็นเวลาอยู่ ๑ เดือน แล้วจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังที่ได้ตั้งใจไว้


    ๏ อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต


    หลวงปู่ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ญัตติฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ ณ พัทธสีมาวัดอรัญญิกาวาส จังหวัดอุดรธานี โดยมี ท่านพระครูอุดรคณานุศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์, ท่านพระมหามี สุทัสสี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ ท่านพระอธิการสมจิต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “สุภัทโท” ซึ่งแปลว่า “ผู้ประพฤติงาม”


    lp-fab-19.jpg


    ๏ ลำดับการจำพรรษา


    พรรษาที่ ๑ หลวงปู่จำพรรษาที่วัดอรัญญิกาวาส หลวงปู่ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและบทสวดต่างๆ อย่างขะมักเขม้น ทำให้มีเวลาในการปฏิบัติภาวนาน้อยและทำให้สมาธิเสื่อมหายไป แต่ก็ยังรักษาการปฏิบัติไว้อย่างต่อเนื่อง หลวงปู่มีโอกาสไปฟังธรรมเทศนาจาก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นประจำ เพราะท่านเจ้าอธิการสมจิต มีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่เทสก์ ทำให้หลวงปู่ได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์และเข้าฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ นอกจากหลวงปู่เทสก์แล้ว ยังมีครูบาอาจารย์รูปอื่นๆ อีก ที่หลวงปู่ได้เข้าฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เช่น หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น


    ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ญาติของหลวงปู่ซึ่งอยู่ที่บ้านบุ่งเลิศ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ถึงแก่กรรม หลวงปู่จึงเดินทางไปช่วยงานศพจนกระทั่งเสร็จสิ้น แล้วหลังจากนั้นจึงได้เดินทางไปปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ ณ ถ้ำจำปา ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นเคยไปพำนักเพื่อปฏิบัติภาวนาอยู่ เมื่ออยู่ที่นี่หลวงปู่เร่งภาวนาอย่างหนัก เดินจงกรมวันละไม่ต่ำกว่า ๑๐ ชั่งโมง นั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้า อยู่ ๔ ถึง ๕ วัน จึงออกบิณฑบาตสักครั้งหนึ่ง ปฏิบัติอย่างนี้จนได้สมาธิกลับคืนมาและเกิดนิมิตต่างๆ เช่น มีเทวดามานั่งอยู่รอบๆ กราบนมัสการหลวงปู่ทุกคืน บางคืนเทวดาก็นิมนต์ไปเทศนาบ้าง ไปบิณฑบาตบ้าง


    พอรุ่งเช้า หนทางที่เหล่าเทวดาเดินทางมาหาหลวงปู่นั้นมีแต่หน้าผาและภูเขาทั้งนั้น จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์อยู่ ที่พักของหลวงปู่จะมีท่อน้ำเก่าๆ แต่ไม่มีน้ำไหลออกมา ทำให้หลวงปู่คิดว่าคงต้องลงไปเอาน้ำจากข้างล่างขึ้นมา พอจะลงไปก็มีน้ำไหลออกมาเองเต็มโอ่งน้ำที่รองอยู่พอดี และเมื่อเวลาน้ำหมดก็จะมีน้ำไหลออกมาอย่างนี้ทุกครั้ง


    พรรษาที่ ๒, ๓ และ ๔ หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอุดม อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ย่อหย่อน และจริงจังตลอด ไม่ว่าแดดจะร้อนหรือฝนจะตกอย่างไรก็ตาม


    ในคืนหนึ่งตอนต้นพรรษาที่ ๓ หลวงปู่ได้ฝันว่าหลวงปู่มั่นมาจับแขนดึงให้ตามไป โดยมีหลวงปู่เสาร์เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “ไปทางนี้” หลวงปู่จึงตอบไปว่า “ข้าน้อยจะตามไปอยู่ ท่านอาจารย์วางแขนข้าน้อยเถอะ” หลวงปู่มั่นไม่ปล่อยแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้เดี๋ยวจะกลับคืน” แล้วพาเดินไป ปรากฏว่าเมื่อหลวงปู่มองไปข้างล่าง เห็นก้อนเมฆเต็มไปหมดเหมือนเดินอยู่บนฟ้า หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ตื่นขึ้น จึงพิจารณาถึงความฝันนี้ว่า หลวงปู่มั่นคงกลัวหลวงปู่จะหลงทางนั้นเอง


    ระหว่างพรรษาที่ ๓ การภาวนาของหลวงปู่มีนิมิตเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้จิตของหลวงปู่สับสนมากจนแก้ไม่ตก นึกได้ว่าจะต้องไปปรึกษากับหลวงปู่เทสก์ หลังจากที่นึกไว้ ๓ วัน ก็มีจดหมายมาถึง เมื่อดูที่หน้าซองจดหมายนั้นปรากฏว่าเป็นจดหมายของหลวงปู่เทสก์ ที่ส่งมาหาหลวงปู่ และมีสมุดเล่มเล็ก ๑ เล่ม พร้อมจดหมายแทรกมาด้วย ๑ ฉบับ ในจดหมายมีข้อความโดยสรุปว่า “ไม่ต้องมาหาหรอก อาจารย์ดูอยู่ทุกคืน ส่วนสิ่งที่เห็นในนิมิตต่างๆ นั้น อาจารย์ได้แก้ให้ไว้เป็นข้อๆ ไป ให้ดูในสมุดเล่มที่แทรกมาด้วยกัน”


    หลวงปู่จึงรีบเปิดดูในสมุด ซึ่งหลวงปู่เทสก์ได้แก้ไขนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่า “ให้ดูนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เป็นอุเบกขา คือการวางเฉย อย่าไปยึดมั่น นั่นเป็นธรรมดาของโลก เมื่อเห็นแล้วให้ใช้ปัญญาพิจารณาเป็นธรรมะ เมื่อเบื่อแล้วให้วางไปทิ้งไป แล้วจะไม่มาปรากฏให้เห็นอีก” หลังจากที่หลวงปู่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงปู่เทสก์แล้ว นิมิตเหล่านั้นก็ไม่มาปรากฏอีกเลย


    lp-fab-20.jpg


    ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ไปปฏิบัติภาวนาอยู่ที่บ้านดงหม้อทอง ตำบลดงหม้อทองใต้ อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร สถานที่แห่งนั้นมีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่ชาวบ้านละแวกนั้นเรียกว่า หินตู้รถไฟ หลวงปู่จะขึ้นไปภาวนาบนหินตู้รถไฟนี้ ได้เกิดปัญญาและธรรมบางอย่างขึ้น เนื่องจากได้เห็นอสุภกรรมฐานที่เกิดขึ้นกับตัวของหลวงปู่เองถึง ๓ ครั้ง


    ครั้งที่ ๑ หลวงปู่เห็นร่างกายของตัวเองอยู่บนกองฟืน ก็คิดว่าเอาร่างของเรามกไว้ที่นี่ทำไมจะเอามาเผาหรือไง ทันใดนั้นก็เกิดไฟเผาร่างกายจนไหม้ กะโหลกศีรษะแตก มันสมองไหลออกหยดลงพื้นไป เผาจนร่างเกือบจะไหม้หมด จิตก็ถอนออกจากสมาธิก่อน


    ครั้งที่ ๒ หลวงปู่เห็นร่างของตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่ แล้วก็ค่อยๆ เริ่มอืดพองขึ้นแล้วก็เริ่มเน่า ผิดหนังก็ปริแตกและไหลออกคล้ายน้ำ จนเหลือแต่กระดูก ต่อจากนั้นมีปลวกมากัดกินจนเหลือเป็นกองดินเล็กๆ ประมาณเท่ากำมือ


    ครั้งที่ ๓ มีกลุ่มคนมาไล่ตีหลวงปู่ หลวงปู่พยายามหนีแต่ไปไม่ไหว ก็เลยยอมให้คนกลุ่มนั้นรุมตีจนแน่นิ่งไป แล้วหั่นร่างของหลวงปู่เป็นท่อนๆ ตามข้อต่างๆ ของร่างกาย แล้วนำมาวางเรียงไว้เป็นกอง เมื่อเสร็จก็พากันเดินหายไป หลวงปู่เลยตะโกนตามไปว่า “อ้าว ! มาฆ่ากันทำไม ? ฆ่าแล้วก็เอาไปด้วยซิ จะเอาไปทำอะไรก็เอาไป จะเอาไปต้มกินก็เชิญ” หลังจากนั้นก็เกิดแสงแดดที่แรงกล้าส่งมาที่ร่าง เนื้อหนังก็ค่อยๆ ไหลหลุดออกเหลือแต่กระดูก จนกระทั่งเหลือเป็นกองขี้เถ้าประมาณกำมือเช่นกัน


    ที่นี่มีพวกภูมิและพวกเทวดา มากราบนมัสการหลวงปู่มากมาย รวมทั้งมีฤาษีมาสนทนาธรรมกับหลวงปู่ แล้วยังบอกกับหลวงปู่อีกว่าหลวงปู่เคยเป็นฤาษีที่เคยบำเพ็ญอยู่ด้วยกันในอดีตชาติ แล้วก่อนจากไปได้รักษาโรคปวดหลังเรื้อรังให้กับหลวงปู่ด้วย ซึ่งหลวงปู่เป็นโรคนี้มานานแล้ว เมื่อได้รับการรักษาจากฤาษีรูปนี้แล้วอาการปวดหลังก็หายเป็นปกติจนถึงปัจจุบัน


    มีอยู่คืนหนึ่งได้มีเสือตัวใหญ่มานอนขวางทางลงทางหินตู้รถไฟ จะลงทางอื่นก็ไม่ได้ เพราะมีทางขึ้นลงอยู่เพียงทางเดียว หลวงปู่ก็ต้องนั่งภาวนาอยู่บนหินนั้นตลอดทั้งคืน พอใกล้รุ่งเช้า เสือจึงเดินจากไป แต่ก่อนไปหลวงปู่พูดขึ้นมาว่า “จะกินก็ไม่กิน มานอนขวางทางอยู่ได้” เสือกลับตอบมาว่า “ไม่กินหรอก ยังไม่ตาย ถ้าตายแล้วถึงจะกิน” พร้อมกลับหันหลังเดินจากไป โดยมีทางให้เสือเดินไปจนสุดสายตา เมื่อเสือเดินลับตาไปแล้ว ทางที่เห็นไกลๆ นั้นกลับกลายเป็นป่าเป็นภูเขาไป จึงทำให้รู้ว่านั่นคงไม่ใช่เสือจริงๆ คงจะเป็นพวกภูมิที่อยากจะให้หลวงปู่เร่งความเพียรเท่านั้นเอง


    ก่อนที่จะเข้าพรรษาที่ ๔ หลวงปู่ได้ออกเดินธุดงค์ภาวนามาที่ถ้ำจำปากันตสีลาวาส (ถ้ำจำปา) อีกครั้ง ในตอนแรกคิดว่าจะจำพรรษาที่นี่ แต่พอใกล้จะเข้าพรรษาฝนตกหนัก ทำให้เกิดความไม่สะดวก ไม่เหมาะสมกับการจำพรรษา หลวงปู่จึงกลับไปจำพรรษาที่วัดศรีอุดม จังหวัดอุดรธานี เช่นเดิม


    พรรษาที่ ๕ และ ๖ ก่อนเข้าพรรษาที่ ๕ หลวงปู่ได้ออกเดินธุดงค์มาจนถึงที่วัดป่าบ้านโพนไค ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ในขณะที่พักอยู่ที่นี่ได้มีมัคทายกแนะนำให้ลองมาอยู่ที่วัดป่าดงหวาย ที่บ้านจาร เพราะไม่มีพระอยู่เลย เป็นหมู่บ้านใกล้ๆ กัน จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าดงหวายเป็นครั้งแรก


    เมื่อแรกที่มาอยู่ที่วัดป่าดงหวายนั้นยังเป็นวัดร้าง ศาลาและกุฏิเก่าผุพัง หลวงปู่จึงได้จัดการพัฒนาซ่อมแซมศาลาและกุฏิใหม่ หลวงปู่อยู่ที่นี่ได้ ๒ พรรษา ในระหว่างพรรษาที่ ๖ นั้น หลวงปู่ได้ประสบกับโรคลำไส้ เมื่อออกพรรษาแล้วจึงต้องกลับไปรักษาตัวอยู่ที่อำเภอบ้านดุง


    พรรษาที่ ๗ เพื่อสะดวกแก่การพักรักษาร่างกายให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ หลวงปู่ได้จำพรรษาที่วัดศรีอุดม อำเภอบ้านดุง เมื่อสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติดีแล้ว หลวงปู่ก็ออกธุดงค์ต่อไปทันที


    พรรษาที่ ๘ และ ๙ หลวงปู่ออกเดินธุดงค์ไปที่ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร หลวงปู่เล่าว่าการภาวนาดีมาก แต่ละคืนมีพวกภูมิต่างๆ พวกเทวดามากราบนมัสการ และนิมนต์ให้ไปเทศน์ตามภูเขาลูกโน้นลูกนี้เป็นประจำ ในการไปแต่ละครั้งจะไม่ได้ไปด้วยกายเนื้อ แต่ไปด้วยจิต เมื่อออกพรรษาหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าดงหวาย และได้สร้างศาลาหลังใหม่ขึ้น โดยทุนทรัพย์ในการก่อสร้างครั้งนี้ได้มาจากพระภิกษุซึ่งเป็นลูกหลานของชาวบ้านจารเป็นผู้จัดหาผ้าป่ามา โดยร่วมกับชาวบ้านจารนำมาถวาย
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)

    lp-fab-21.jpg

    ๏ พญานาคขึ้นมาขอฟังธรรมจากหลวงปู่แฟ๊บ


    พรรษาที่ ๑๐ หลวงปู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ภูกิ่ว หลวงปู่ได้รับความลำบากและขัดสนในเรื่องของอาหารมาก แต่การภาวนาขณะที่อยู่ที่นี่ หลวงปู่ได้ปัญญาธรรมให้พิจารณาถึงความทุกข์ที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้มากมาย และมีอยู่คืนหนึ่งขณะกำลังภาวนาอยู่ พญานาค ๓ ตัวมากราบนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่ตลอดคืน หลวงปู่ได้บอกถึงลักษณะของพญานาคที่ได้เห็นไว้ว่า มีลักษณะคล้ายงูจงอาง แต่มีขนาดตัวยาวและใหญ่มาก ประมาณต้นมะพร้าว มีเกล็ดคล้ายแก้วสีฟ้าใส มีสีสวยงามมาก


    ในพรรษานั้น มีโยมจากบ้านโพนไคและบ้านจาร อำเภอบ้านม่วง ได้ตามไปนิมนต์ให้กลับมาวัดป่าดงหวาย ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วจึงกลับมาที่วัดป่าดงหวาย


    พรรษาที่ ๑๑ จนถึงปัจจุบัน การก่อสร้างศาลาของวัดป่าดงหวายยังไม่สำเร็จ เมื่อหลวงปู่กลับมาที่วัดป่าดงหวายในครั้งนี้ หลวงปู่ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาต่อจนแล้วเสร็จ และสร้างกุฏิเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง แต่การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่ก็ไม่ได้ย่อหย่อนลงเลย การภาวนาของหลวงปู่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีนิมิตที่สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น แผ่นดินยุบเป็นเหวลึกรอบตัวจนหลวงปู่ตกไปในเหวลึก แต่ก็มีตาข่ายมารองรับตัวหลวงปู่ บางครั้งมีพายุฝน พายุลูกเห็บกระหน่ำพัดใส่ตัวหลวงปู่ บ้างก็เป็นท่อนไม้ตกใส่ตัวหลวงปู่หลายท่อน บ้างก็เป็นลมพายุหมุนพัดมาแต่หลวงปู่ก็ฝืนไม่ยอมปลิวไปตามลม


    ในแต่ละครั้ง หลวงปู่คิดอย่างเดียวว่า “ตายเป็นตาย” แต่เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ ทุกอย่างก็เป็นปกติเหมือนเดิม และมีเทวดาบ้าง รุกขเทพบ้าง หรือพวกภูมิต่างๆ บ้าง บางทีก็เป็นพวกพญานาค มากราบนมัสการขอฟังธรรมจากหลวงปู่อยู่ตลอด บางคืนถึงกับไม่ได้พักผ่อนเลย หลวงปู่เล่าว่าพวกพญานาคจะมากันเยอะมาก มาในลักษณะของคนธรรมดา เมื่อถามไปว่า “มาจากไหน” พวกพญานาคก็ตอบว่า “มาจากเมืองบาดาล ขึ้นมาจากสระน้ำที่อยู่ภายในวัดป่าดงหวายนี้เอง”


    lp-fab-22.jpg
    ตลอดเวลาที่ออกธุดงค์หรือพำนักจำพรรษาในที่ต่างๆ แต่ละปี แต่ละพรรษา หลวงปู่จะระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อยู่เสมอ และไปกราบนมัสการเยี่ยมเยียนท่านอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งในพรรษาที่ ๑๑ หลวงปู่เทสก์ได้บอกกับหลวงปู่ว่า “อายุมากแล้วให้หาวัดอยู่ประจำได้แล้ว ที่วัดป่าดงหวายนั่นแหละ เหมาะดีแล้ว” หลวงปู่รับคำจากหลวงปู่เทสก์ แต่เมื่อออกพรรษาในแต่ละปี หลวงปู่จะไปหลบปลีกวิเวกปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูเกิ้ง บ้านท่าส้มป่อย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อยู่บ่อยๆ เพราะเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการภาวนาของหลวงปู่อีกที่หนึ่ง


    การภาวนาของหลวงปู่ได้ปัญญาธรรมที่สำคัญที่สุดที่ภูเกิ้งนี่เอง เหตุเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติภาวนาตามปกติ ในคืนหนึ่งได้มีแสงสว่าง ๔ ดวงลอยมาจากฟ้าแล้วลอยเข้ามาใกล้ๆ หลวงปู่ ปรากฏว่าเป็นพระ ๔ รูป แล้วก็เข้ามาจะกราบหลวงปู่ หลวงปู่ห้ามไว้ แล้วถามถึงพรรษาของพระทั้ง ๔ รูปนั้น พระ ๑ ใน ๔ รูปนั้นกล่าวว่า “พรรษาไม่เกี่ยว ธรรมะไม่ได้อยู่ที่พรรษา ธรรมะอยู่กับการปฏิบัติที่จริงจัง” จึงได้กราบหลวงปู่ แล้วก็เริ่มสนทนากับหลวงปู่


    พระ ๔ รูป : “ท่านมาทำไมที่นี่ มาทำอะไรหรือ”


    หลวงปู่ : “มาปฏิบัติหาธรรมะตามแนวทางของพระพุทธเจ้า”


    พระ ๔ รูป : “ท่านอาจารย์มาหาธรรมะ แล้วใครเป็นผู้สอนธรรมะละ ? แล้วศาลาการเปรียญธรรมอยู่ที่ไหน ? ที่เห็นกันอยู่ทุกวันเป็นเสนาสนังเท่านั้นนะ ไม่ใช่ศาลาการเปรียญธรรมที่แท้จริงนะ”


    หลวงปู่ : “ไม่รู้หรอก”


    พระ ๔ รูป : “ให้หาคำตอบเอานะ แล้วจะกลับมาใหม่วันนี้ขอลาไปก่อน” แล้วหายตัวจากไป


    หลวงปู่พยายามคิดหาคำตอบอยู่หลายวัน จนกระทั่งได้สวดมนต์บทธรรมจักรกัปปะวัตตะนะสูตร เมื่อสวดไปๆ เกิดปัญญารู้ถึงคำตอบที่พระ ๔ รูปได้ฝากเอาไว้ จากเนื้อหาของบทสวดนั่นเอง ในหลายคืนต่อมาพระเหล่านั้นกลับมาอีกครั่ง แต่คราวนี้มากัน ๓ รูปเท่านั้น แล้วจึงทวงถามถึงปัญหาที่ฝากไว้


    หลวงปู่ : “ผู้ที่จะสอนธรรมะและศาลาการเปรียญธรรมนั้น อยู่ที่ตัวของเรา อยู่ที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะท่านเพียงแค่ชี้แนะและให้คำสั่งสอน เพื่อเป็นแนวทางให้เราได้ปฏิบัติตามอย่างถูกทางเท่านั้น อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ที่จิตใจของเรานี่ที่ต้องมาวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารอันนี้ล่ะ”


    พระ ๓ รูป : “ถูกแล้ว อาจารย์เก่งมาก ขอให้อาจารย์ศึกษาอยู่ตรงนี้ และไม่ช้าไม่นานต้องจบแน่” เมื่อกล่าวจบก็หายตัวจากไป


    lp-fab-23.jpg


    ในช่วงเวลาที่หลวงปู่อยู่ที่ภูเกิ้งนี้ มีเทวดามากราบนมัสการเป็นประจำ บ้างก็เป็นเด็กๆ บ้างก็เป็นผู้ใหญ่ บ้างก็มาขอบวชกับหลวงปู่ แต่หลวงปู่ไม่บวชให้ แต่กลับชวนเดินจงกรม ภาวนาด้วยกัน หลังจากออกพรรษาที่วัดป่าดงหวาย หลวงปู่จะไปปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ภูเกิ้งตามแต่โอกาส บางทีก็ครึ่งเดือน บางทีก็เดือนหรือสองเดือน


    ที่วัดป่าดงหวายยังมีนิมิตที่ทำให้เกิดปัญญาธรรมที่สำคัญกับหลวงปู่ขึ้นอีก คือ นิมิตว่าตัวเองได้ตายอีกครั้ง หลังจากที่เคยเห็นมาแล้วถึง ๓ ครั้ง เมื่อหลายปีก่อน คราวนี้เห็นว่าร่างของตัวเองนั้นแห้งไปจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กลิ่นก็ไม่มี อย่างนี้คงเก็บไว้ได้นานเป็นร้อยๆ ปีก็ไม่เน่าไม่เปื่อย เมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงปู่จึงบอกว่า “เอ้า ! อยากตายนัก ตายไปเลย” แล้วจิตก็ถอนออกจากสมาธิ


    ต่อมามีนิมิตว่า ตัวของหลวงปู่ กลางลำตัวนั้นใสไปหมดคล้ายกระจก แต่มีจุดอยู่ ๒ จุดกับมีแนวยาวๆ คั่นระหว่างจุด ๒ จุดยาวไปตามแนวของกระดูกสันหลัง หลวงปู่คิดหาคำตอบอยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เห็นนี้คืออะไร พยายามหาคำตอบอยู่หลายเดือน


    จนในขณะไปเดินบิณฑบาต มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ ท้องใหญ่มาก มาใส่บาตร จึงคิดไปว่าคงจะเป็นลูกแฝด จึงกลับมาพิจารณาเพ่งจิตที่วัดก็เห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ งอตัวอยู่ หันหน้าไปทางกระดูกสันหลังของผู้เป็นแม่ แล้วก็ปรากฏเห็นการเกิดของเด็กทารกในเวลาคลอดจะกลับหัวออกมาก่อน ขณะนั้นก็เกิดปัญญาขึ้นมาว่า “นี่เอง ! ทางแห่งการเกิดนี่เอง ! จุดบ่อเกิดทางเส้นนี้จุด ๒ จุดนี้ เป็นเหตุแห่งการเกิด นี่ๆ ! ไม่สงสัยแล้วเหตุแห่งการเกิดในวัฏฏะสงสารนี้” พร้อมกับความรู้สึกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย จิตใจสว่างผ่องใสเป็นที่สุด”


    ในปัจจุบัน วัดป่าดงหวายได้รับความศรัทธาจากลูกศิษย์ทั้งพระภิกษุและฆราวาส เข้ามาขอความเมตตาฟังเทศน์ ฟังธรรมคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติภาวนาเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ก็ให้ความเมตตาอบรมสั่งสอน ให้อยู่ในศีลในธรรม ให้รู้จักปฏิบัติภาวนารักษาจิตใจให้สะอาด โดยเน้นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เป็นพระเถระที่เป็นพระอาจารย์ผู้ประเสริฐ เป็นนักภาวนาเป็นเอกอุ อย่างไรก็ดี แม้สังขารร่างกายของหลวงปู่จะทรุดโทรมด้วยความชราและโรคภัยต่างๆ ที่เข้ามาเบียดเบียน ก็ไม่ได้ทำให้หลวงปู่ลดความเมตตาหรือลดการปฏิบัติธรรมเจริญรอยตามพระบูรพาจารย์ลงตามไปด้วยแม้แต่น้อย หลวงปู่ยังคงปฏิบัติภาวนา เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ อยู่เป็นประจำ เพื่อรักษาแนวทางการปฏิบัติของพระธุดงค์กรรมฐานต่อไป


    lp-fab-24.jpg
    lp-fab-25.jpg

    lp-fab-26.jpg
    lp-fab-27.jpg


    lp-fab-28.jpg


    lp-fab-29.jpg


    พิธีรดน้ำศพ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท


    ๏ การอาพาธและการมรณภาพ


    เมื่อช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ซึ่งอาพาธด้วยโรคปอด ความดัน และเบาหวาน เป็นเวลานานกว่า ๓ เดือน ได้เกิดอาการช็อคหมดสติ อาการค่อนข้างรุนแรง คณะศิษยานุศิษย์จะนำตัวส่งโรงพยาบาลศรีนคริทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่หลวงปู่ไม่ยอมไป ต่อมาคณะแพทย์ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านม่วง, โรงพยาบาลสว่างแดนดิน, โรงพยาบาลพังโคน และโรงพยาบาลเรณูนคร ได้มาร่วมกันถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด ครั้นใกล้เวลา ๑๕.๐๐ น. หลวงปู่เกิดอาการปัสสาวะติดขัด กะปริบกะปอย ทำให้เกิดอาการช็อกอีกครั้ง อีกทั้งมีความดันต่ำลง และหัวใจเต้นผิดจังหวะ คณะแพทย์ได้ให้การถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาหลวงปู่มีอาการหัวใจหยุดเต้น ต้องปั้มหัวใจถึง ๒ ครั้ง จนอาการดีขึ้น


    กระทั่งเวลา ๑๖.๓๐ น. คณะแพทย์จึงได้กราบเรียนคณะสงฆ์วัดป่าดงหวาย และอาจารย์สมศักดิ์ กุลวงศ์ บุตรชายของหลวงปู่ ขออนุญาตนำหลวงปู่ส่งเข้าห้องไอซียู (ICU) โรงพยาบาลสกลนคร จ.สกลนคร ถึงโรงพยาบาลในเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. คณะแพทย์ได้พยายามรักษาอาการของหลวงปู่อย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ในที่สุดหลวงปู่ได้ถึงแก่มรณภาพลงอย่างสงบด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ เมื่อเวลา ๒๑.๕๐ น. ของวันจันทร์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ณ โรงพยาบาลสกลนคร ท่ามกลางความเศร้าสลดและความอาลัยเป็นยิ่งนักของบรรดาคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป สิริรวมอายุได้ ๘๘ ปี พรรษา ๒๘


    ก่อนหลวงปู่มรณภาพ ๑ วัน นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้นำพุทธศาสนิกชนมาร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคี ณ วัดป่าดงหวาย เพื่อนำปัจจัยไปก่อสร้าง “โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยสกลนคร” โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยแห่งแรกของจังหวัดสกลนคร และแห่งเดียวในประเทศไทย อาจกล่าวได้ว่า งานทอดกฐินสามัคคีในครั้งนี้มีผู้มาร่วมงานกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ได้ปัจจัยเป็นจำนวนเงินกว่า ๓ ล้านบาท ๓ แสนบาท สำหรับการก่อสร้างนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท ชาวบ้านในพื้นที่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร มูลค่าการก่อสร้าง ๙๘ ล้านบาท ตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และหากเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลทั่วไป มีขนาดประมาณ ๓๐ เตียง มีการแบ่งพื้นที่เป็นอาคารผู้ป่วยใน และพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพรทำยา ทั้งนี้ การก่อสร้างมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการการแพทย์แผนไทย เป็นแหล่งวิจัย ฝึกอบรมการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมการใช้ยาไทย สมุนไพรไทย และอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย


    lp-fab-31.jpg
    lp-fab-32.jpg

    lp-fab-33.jpg
    lp-fab-34.jpg


    lp-fab-35.jpg


    lp-fab-36.jpg


    พิธีประชุมเพลิงศพ หลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท


    ๏ กำหนดการบำเพ็ญกุศลและประชุมเพลิงศพ


    lp-fab-30.jpg
    กำหนดการบำเพ็ญกุศลและประชุมเพลิงศพหลวงปู่แฟ๊บ สุภัทโท


    ณ วัดป่าดงหวาย บ้านจาร ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร


    วันอังคารที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓


    - ๐๗.๐๐ น. ถวายภัตตาหารบัณฑบาตแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร


    - ๑๔.๐๐ น. เคลื่อนศพจากศาลาการเปรียญไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่เมรุชั่วคราว


    เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาจากหมู่บ้านต่างๆ ได้ทอดผ้าบังสุกุลตามอัธยาศัย


    - ๑๙.๐๐ น. พระสงฆ์ ๔ รูป สวดพระอภิธรรม


    - ๒๐.๐๐ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์


    วันพุธที่ ๒๒ ถึงวันศุกร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓


    - ๐๗.๐๐ น. ถวายภัตตาหารบัณฑบาตแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร


    - ๐๙.๐๐ น. เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมาจากหมู่บ้านต่างๆ ได้ทอดผ้าบังสุกุลตามอัธยาศัย


    - ๑๙.๐๐ น. พระสงฆ์ ๔ รูป สวดพระอภิธรรม


    - ๒๐.๐๐ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์


    วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓


    - ๐๗.๓๐ น. ถวายภัตตาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์ สามเณร


    - ๑๔.๐๐ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์


    - ๑๕.๐๐ น. สวดมาติกา - บังสุกุล


    - ๑๖.๐๐ น. ประชุมเพลิง


    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๓


    - ๐๖.๓๐ น. เก็บอัฐิ


    - ๐๗.๐๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ฉลองอัฐิ


    เจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล พร้อมจตุปัจจัย เครื่องไทยธรรม


    ถวายภัตตาหารบัณฑบาตแด่พระสงฆ์ สามเณร


    พระสงฆ์อนุโมทนา


    เสร็จพิธี


    .............................................................


    รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::


    (๑) http://www.sakoldham.com/


    (๒) ข่าวประชาสัมพันธ์จากวัดป่าดงหวาย จ.สกลนคร


    bar-red-lotus-small.jpg
    :- http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-fab/lp-fab-hist-01.htm

    lp-fab-hist-01.gif
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เหรียญเต่ามังกรกับพระกริ่ง หลวงปู่ทองพูน ถ้ำจำปาทอง [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    Nov 14, 2021
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ประวัติหลวงปู่ทองพูน เขมเปโม
    -Social-Rayong-copy-สำเนา-1024x858.png

    มหาเถราจารย์มากเมตตาบารมี สมถะสงฆ์ผู้มีจริยวัตรอันงดงาม อายุยืนยาว103 ปี ศิษย์ก้นกุฎิหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านเดินธุดงค์มาค่อนชีวิต บำเพ็ญเพียรภาวนาภายในถ้ำมาเป้นเวลานานกว่า40ปี และเคยเข้าไปในโลกของชาวลับแลมาแร้ว แม้เมื่อปัจุบันท่านสร้างสำนักปฎิบัติธรรม ท่านก้ยังอยุ่ในถ้ำ
    หลวงปู่เป้นชาวอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี. เกิดในสกุล”จันทร์นาค”เป้นยุตรคนที่4ในจำนวนพี่น้อง6คน ของนายเพิ่มศักดิ์และนางอบเชย(อังกินันท์)วัยเยาว์เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่โรงเรียนวัดไสค้าน จากนั้นได้บรรพชาเป้นสามเณรอยุ่กับพระพี่ชายที่วัดราษฎร์ศรัทธาราม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี มรพระครูวิสุทธิเมธร(หลวงพ่อเวก)วัดศาลาหมูสี เป้นพระอุปัชฌาย์ โดยช่วงนั้นทางวัดได้นิมนต์พระอาจารย์จากวัดปากน้ำภาษีเจริญมาสอนกรรมฐาน

    S__17776711-1.jpg

    ช่วงหนึ่งพี่ชายชวนท่านลาสิกขา แต่ใจของท่านชื่นชอบทางธรรม จึงตัดสินใจหนีออกมาอยุ่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้พบและศึกษาธรรมกับหลวงพ่อสดและอุปสมบทเป้นพระภิกษุที่วัดปากน้ำ โดยมีโอกาศไปเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ที่โรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส และสอบได้เปรียญธรรม4ประโยค
    ต่อมาขณะมีอายุ31ปี ท่านเกิดติดเชื้อไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียจนขึ้นสมอง โชคดีที่แพทย์ช่วยรักษาไว้ทัน แต่ก้ทำให้สมองเสียหายบางส่วนส่งผลกระทบในเรื่องความจำ ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขา รวมเวลาอยุ่ที่วัดปากน้ำ22ปี โดยหลวงพ่อสดได้สอนให้ท่านนั่งกรรมฐานมาตลอดตั้งแต่เป้นสามเณร โดยให้ใช้การบริกรรม”สัมมาอะระหัง”
    หลังลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตฆราวาส ทำไร่ทำนา พร้อมกับรักษาศิลด้วยความที่เป้นคนรักความยุติธรรม. ท่านได้ต่อสู้กับพวกอันธพาลคนเลวที่ชอบรังแกชาวบ้าน โดยท่านกล่าวว่า”อาตมาไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยสูบบุหรี่ แต่เกลียดคนทำชั่ว”

    tp2-1024x858.png

    กระทั่งในปีพ.ศ.2520 ท่านได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ณ.วัดบ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พรรษาแรกผ่านไปท่านก้ออกแสวงหาที่สงบหลายแห่งโดยย้ายไปอยุ่วัดเขาเขียว แล้วไปอยุ่ที่ถ้ำเขาปิ่นทอง วัดถ้ำสิงโตแก้ว จนสุดท้ายมาอยุ่ที่ถ้ำจำปาทองเป้นเวลา9ปี
    หลวงปู่มหาทองพูนท่านเป้นศิษย์10สายพระเกจิอาจารย์หรือที่ลูกศิษย์เรียกกันว่า”หลวงปู่ทองพูน10ทัศน์”ซึ่งส่วนมากเป้นอดีตเกจิอาจารย์ดังแห่งเมืองเพชรบุรี ประกอบด้วย
    1.หลวงพ่อสด จันทสโร วัดปากน้ำ สุดยอกพระอริยสงฆ์ที่คนทั้งประเทศรุ้จักดี หลวงปู่ได้รับการบวชเณรและบวชพระจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชายมหาโภคทรัพย์และธรรมกายชั้นสูงให้เรียกว่า ท่านสำเร็จธรรมกายและการลบผงมหาโภคทรัพย์ตามแบบฉบับหลวงพ่อวัดปากน้ำมาเนิ่นนานแล้ว โดยท่านอยุ่อุปัฎฐากและร่ำเรียนกับหลวงพ่อสดเป้นเวลายาวนานถึง22ปีตั้งแต่9ขวบถึง31ปี จนสามารถชักยันต์ลบผงและบรรจุวิชาสำเร็จ จึงได้ออกจากวัดปากน้ำไปแสวงหาพุทธาคมเพิ่มเติมโดยสืบสายพระเกจิหลายรุปซึ่งล้วนแล้วแต่เป้นญาติผู้ใหญ่ของท่านทั้งสิ้น

    tp3-1024x858.png
    2.สายพระเทพวงศาจารย์หรือหลวงปู่อินทร์ อินทโชโต วัดยาง อดีตเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี เจ้าของวิชากระสุนหลงนะโมหัวช้าง ไม้สระแกตาบอด โดยหลวงปู่อินทร์มีศักดิ์เป้นหลวงลุงของท่าน
    3.สายพระครูสุชาตเมธาจารย์หรือหลวงพ่อกุน วัดพระนอน จ.เพชรบุรี. เจ้าของวิชาตะกรุดไมยราพสะกดทัพ และวิชาด้านคงกะพันต่างๆโดยเรียนจาก2ศิษย์เอกของหลวงพ่อกุนคือหลวงพ่อม่วง วัดหนองกาทองกับหลวงปู่โต๊ะ วัดท่อเจริญธรรม ซึ่งเป้นหลวงน้าของท่าน โดยสายนี้ท่านยังศึกษาเพิ่มเติมตากอาจารย์ฆราวาสซึ่งมีศักดิ์เป้นลุงของท่านคือปู่หมอหนู ซึ่งเป้นศิษย์หลวงพ่อกุนวัดพระนอน และหลวงพ่อชม วัดดอนกอก

    tp1-1024x858.png
    4.สายหลวงพ่ออบ อินทวิริโย วัดถ้ำแก้ว เจ้าของวิชาชาตรี โดยหลวงปู่ทองพูนมีศักดิ์เป้นหลานหลวงพ่ออบ
    5.สายหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง เรียนวิชานะปัดตลอด มหาอุตม์คงกระพัน จากหลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร
    6.สายหลวงพ่อพิมพ์(มาลัย มาลโย)วัดหุบมะกล่ำ จ.ราชบุรี เจ้าของวิชาเข็มทองคะนองฤทธิ์ สมัยหลวงพ่อพิมพ์อยุ่วัดมาลัยทับใต้ได้ฝังเข็มทองให้หลวงปู่ด้วย
    7.สายหลวงพ่อชม วัดดอนกอก ศิษย์ผู้น้องจองหลวงพ่อกุน วัดพระนอน เจ้าของลูกสะกดหมากทุย พระปิตตาคลุกรักวิชามหาอุตม์คงกระพันของท่าน นักเลงบ้านลาดต่างมีความเชื่อมั่นในพุทธคุณมาก ทางด้านคงกระพันชาตรี

    tp4-1024x858.png

    8.หลวงพ่อผิน วัดโพธิ์กรุ วิชาด้านคงกระพันแคล้วคลาด หลวงพ่อผินเป้นเพื่อนสนิทโยมพ่อของหลวงปู่
    9.สายหลวงพ่อเทพ วัดถ้ำรงค์ เรียนวิชามหาเมตตา เนื่องจากหลวงพ่อเทะเอ็นดูหลวงปู่มหาทองพูนตั้งแต่เป้นสามเณรติดตามพระครูวิสุทธิเมธี วัดหมูสี ซึ่งเป้นพระอุปัชฌาย์บวชเณรครั้งแรงของหลวงปู่และเป้นเจ้าคณะแขวงเดินทางมาแต่งตั้งหลวงพ่อเทพเป้นเจ้าอาวาสวัดถ้ำรงค์
    10.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เรียนวิชาโพธิสัตว์ บารมีสิบทัศน์ สาริกาลิ้นทองจากหลวงพ่อเวก วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม(วัดศาลาหมูสี)ศิษย์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อเงิน เนื่องจากเมื่ออายุ8ขวบ โยมย่าพาท่านมาบวชเณรอยุ่กับพระพี่ชายที่วัดศาลาหมูสี ทำให้ท่านสนิทกับหลวงพ่อเวกซึ่งจำพรรษาอยุ่ที่วัดนี้ ก่อนที่ปีต่อมาท่านจะหนีพระพี่ชายไปอยุ่วัดปากน้ำ และหลวงพ่อสดให้สึกและเป้นอุปัชฌาย์บวชให้ใหม่ ภายหลังทุกครั้งที่หลวงปู่กลับมาบ้าน มักไปกราบไปนอนกับหลวงพ่อเวกเป้นประจำ
    tp6-1024x858.png

    tp7-1024x858.png

    tp8-1024x858.png
    เห็นรายชื่อพระอาจารย์แต่ละองค์ของท่านแล้วชี้ชัดได้ว่า หลวงปู่มหาทองพูนท่านไม่ธรรมดาแน่นอนมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน โดยเฉพาะสายวัดปากน้ำรุ้กันมานานแล้ว และแวะเวียนไปขอธรรมจากท่านเป้นประจำ คนกรุงเทพฯที่สนใจธรรมต่างไปกราบนมัสการสู่ท่านอยุ่เสมอแทบทุกวัน เพราะกรุงเทพฯกับราชบุรีระยะทางไม่ไกลกันนัก
    พระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบอย่างหลวงปู่มหาทองพูนนั้น ค่อนข้างหาได้ยากในยุคปัจุบัน แม้วัยจะย่างเข้า104ปีแล้ว ท่านยังคงยิ้มแย้มต้อนรับญาติโยมสนทนาธรรมได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งสงเคราะห์เหล่าศิษย์ที่เดือดร้อนอยุ่ภายในกุฎิเสมอโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
    :- https://www.s-amulet.org/2406/
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๓๒.ตาทิพย์..พาทุกข์ ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    80,611 views Dec 16, 2021
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยช่วยแก้ไขอาถรรพ์ของน้ำมันตาทิพย์ให้เจ้าส่างสามเณรที่เมืองปางซาง.

     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ขุนโจรสลัดมาเป็นพระอรหันต์ | เรื่องเล่าจากพระธุดงค์ | พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต

    100 เรื่องเล่า
    5,833 views Nov 22, 2021
    ขุนโจรสลัดมาเป็นพระอรหันต์ เรื่องเล่าพระธุดงค์ เป็นประวัติส่วนหนึ่งของพระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต ในอดีตท่านเคยฆ่าคนตายมาก่อนและได้เคยเป็นโจรสลัดออกปล้นเรือขนส่งสินค้าเถื่อนออกนอกประเทศ และเรือของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก หลังจากนั้นท่านก็ได้บวชเป็นพระป่าสายกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ลูกศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจรธัมโม ต่อมาท่านก็ได้ออกจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อท่านมรณะภาพแล้วกระดูกของท่านเป็นพระธาตุขาวสะอาด นั่นแสดงว่าท่านเป็นพระอรหันต์หมดสิ้นกิเลสแล้ว

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ตำนานพระอาจารย์ประยุทธ ชีวิตก่อนมาพบ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม | เปิดตำนาน ๑๗๘

    Double Colour
    325,896 views May 6, 2020

    เปิดตำนาน 178 : เล่าเรื่อง พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต แห่งวัดป่าผาลาด วันนี้จะพาไปฟังตำนานของอดีตโจรกลับใจ พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต วัดป่าผาลาด ชีวิตและอุทาหรณ์ หลงเดินทางผิดอยู่นาน ตำนานถูกลากลงสู่ขุมนรกอเวจี ก่อนได้มาพบกับอรหันต์ผู้สยบโจร กำราบนักเลงทั่วทิศ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เรื่องราวจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามชม …


     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่คำดี ธุดงค์เขาตะกุดรัง | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่คำดี ปภาโส

    100 เรื่องเล่า
    45,848 views Oct 9, 2021
    หลวงปู่คำดี ปภาโส พระธุดงค์กัมมัฏฐาน ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์สิง ขันตยาคโม ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดขอนแก่น มาที่นครราชสีมา เพื่ออบรมกัมมัฏฐานที่วัดป่าสาละวัน กับพระอาจารย์สิงห์ กับพระอาจารย์มหาปิ่น และเหตุการณ์ที่ท่านได้ออกธุดงค์ที่เขาตะกุดรัง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ได้พบเหตุการณ์แปลกๆ และพบกับเสือ และงูที่เขาตะกุดรัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lppaneuksirimungkalo.jpg
    ประวัติและปฏิปทา

    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล

    วัดป่าเขวาสินรินทร์
    ต.เขวาสินรินทร์ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์

    จากหนังสือประวัติโดยย่อหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล

    คำนำ

    การเรียบเรียงประวัติของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ในครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะหลวงตาท่านไม่ค่อยเล่าประวัติของท่าน นอกจากมีผู้ถามท่านก็จะเล่าเพียงเล็กน้อยยิ่งเรื่องทางโลกแล้วท่านจะไม่ค่อยพูดถึงเลย เป็นปกตินิสัยของท่านที่พูดน้อย แม้แต่การเทศนาเองถ้ามีคนเขานิมนต์เทศน์ท่านเทศน์เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้ง นอกจากผู้ที่มีความขัดข้องทางด้านการภาวนามาถามท่าน หลวงตาจะตอบบ้างหรือไม่ถ้ามีคนมาถามถึงเรื่องโลกๆ แล้วท่านจะไม่ค่อยพูดเลย ท่านเคยบอกว่า “พูดไปทำไม อยากรู้ไปทำไมไม่มีประโยชน์ ให้ขยันภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่นของแท้” ท่านเคยบอกว่า “ในตัวของคนเรานี้มีอยู่ ๒ ตัว...ตัวที่หนึ่งนี้ตายได้ อีกตัวหนึ่งนั้นไม่ตาย ให้ไปหานะ หาให้เจอนะตัวที่ไม่ตาย”...การจัดทำอย่างรีบด่วน เพราะไม่ได้วางแผนเตรียมการมาก่อน จึงได้จัดทำเท่าที่มีข้อมูลอยู่ฉะนั้น การเรียบเรียงประวัติของท่านในครั้งนี้ จึงเป็นการเรียบเรียงแบบย่อๆ พอได้ใจความเกี่ยวกับประวัติของหลวงตาก่อน ถ้ามีโอกาสได้จัดทำประวัติหลวงตา ในครั้งต่อไปคงจะได้ข้อมูลประวัติมาเรียบเรียงแก้ไขปรับปรุงใหม่ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

    คณะศิษย์จึงขอน้อมกราบขอขมาด้วยเศียรเกล้าแด่องค์หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล และขออภัยทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากการจัดทำประวัติหลวงตาในครั้งนี้ได้ผิดพลาด ล่วงเกินประการใดไป ขอได้โปรดงดซึ่งโทษที่ได้ล่วงเกินนั้นด้วย เพื่อการสำรวมระวังในการต่อไป...

    คณะศิษย์ ๒๐ พ.ย. ๒๕๕๑

    ชาติภูมิ

    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ที่บ้านโชค หมู่ที่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ (เดิมเป็นเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์) เป็นบุตรของคุณพ่อพุ่ม-คุณแม่เอี่ยม พโยมแจ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งหมด ๔ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

    คนที่หนึ่งชื่อ นางแป๊ะ (เสียชีวิตแล้ว)
    คนที่สองชื่อ นางโปม (เสียชีวิตแล้ว)
    คนที่สามคือ หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล (มรณภาพแล้ว)
    คนที่สี่ชื่อ นางปอม (เสียชีวิตแล้ว)

    การศึกษาเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ท่านได้เข้าเรียน ณ โรงเรียนวัดโพธิรินวิเวก จนจบชั้นประถมปีที่ ๑

    (มีต่อ)
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    paragraph_365.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล


    มุ่งสู่เพศพรหมจรรย์ครั้งแรก

    เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิรินวิเวก บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น (ปัจจุบันคืออำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์) เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ก็ได้ลาสิกขาออกมา ต่อมาเมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดโพธิรินวิเวก เป็นเวลา ๔ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขาออกมาอีกครั้ง เนื่องจากทางบ้านไม่มีใครมาช่วยพ่อ-แม่ทำนา

    ชีวิตในการครองเรือน

    เมื่อถึงวัยอันควร ท่านผนึก พโยมแจ่ม (ท่านองค์หลวงตาผนึก) ได้แต่งงานใช้ชีวิตการครองเรือนกับคุณยายปิ่ม พโยมแจ่ม (ปัจจุบันคุณยายเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน มีบุตรด้วยกัน 5 คน แต่คนแรกนั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย (เป็นหญิง) ปัจจุบันยังเหลือบุตรอยู่ 4 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นชายทั้งหมด แต่ก่อนนั้นท่านได้เคยปรารภปรึกษากับภรรยาของท่านว่าจะขอบวชอีกครั้ง ภรรยาบอกว่า “รอให้ใช้หนี้ให้หมดก่อน แล้วฉันจะเป็นเจ้าภาพบวชให้เอง” แต่เมื่อใช้หนี้เขายังไม่หมด ภรรยาก็ได้ด่วนถึงแก่กรรมเสียชีวิตไปก่อน การจัดงานศพของภรรยาท่านยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ทางด้านจิตใจของท่านก็หวนคิด คำนึงถึงแต่เรื่องการจะบวชตอนนี้เรามีโอกาสแล้วโชคดีแล้ว ตามที่เคยตั้งใจไว้ แต่ยังติดอยู่ที่เรื่องเป็นหนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อการจัดงานศพภรรยาของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกๆ ได้ช่วยกันใช้หนี้ให้จนหมดสิ้น

    %CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%B4%D9%C5%C2%EC%20%CD%B5%D8%E2%C5%209.jpg
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    เข้าสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตรอีกครั้ง

    หลังจากที่ลูกๆ ได้ช่วยใช้หนี้ของครอบครัวจนหมดสิ้นแล้ว ท่านได้เข้าสู่เพศบรรพชิตอีกครั้งเมื่อ อายุท่านได้ ๖๐ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๓.๔๕ น. โดยมีพระรัตนากรวิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ภายหลังเป็นพระราชวุฒาจารย์), พระครูสถิตสารคุณ (หลวงพ่อเสถียร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (ภายหลังเป็นพระรัตนกรวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ในอดีต) และพระครูนันทปัญญาภรณ์ (สมศักดิ์ ปัณฑิโต) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (ภายหลังเป็นพระราชวรคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ รูปปัจจุบัน) ได้รับฉายาว่า สิริมงฺคโล

    หลังจากที่ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียน ซึ่งเป็นวัดสายธรรมยุต ที่อยู่ใกล้บ้านเกิดของหลวงตาเอง คือบ้านโชค หมู่ที่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้วหลวงตาได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (พระโพธิธรรมาจารย์เถร) ที่วัดถ้ำศรีแก้ว อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็ได้ขอกราบลาหลวงปู่สุวัจน์ เดินทางกลับจังหวัดสุรินทร์ เพื่อจัดการแบ่งปันมรดกให้ลูกๆ

    __571.jpg
    พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต)


    เมื่อแบ่งปันมรดกให้ลูกๆ เรียบร้อยแล้วหลวงตาก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียนอีก ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วตั้งใจจะกลับไปหาหลวงปู่สุวัจน์ หลวงตาท่านก็ได้ออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง ในช่วงตอนบ่ายๆ วันหนึ่ง ท่านองค์หลวงตา กับหลวงตาดุน ๒ รูป ก็ได้ตั้งใจจะออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง โดยเดินทางด้วยเท้าไปแบบไม่รีบเร่ง แล้วก็ได้เดินทางมาแวะพักที่ป่าใกล้ๆ ที่ไม่ไกลจากอำเภอเขวาสินรินทร์ ซึ่งปัจจุบันป่าแห่งนั้น ก็คือ วัดป่าเขวาสินรินทร์ นี่เองพอมาอยู่ตรงนี้ ก็ได้ปรึกษากันว่า ถ้าปักกลดในป่าลึก หลวงตาดุน ท่านจะเดินบิณฑบาตไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงได้ออกมาปักกลดอยู่ชายป่าซึ่งเป็นบริเวณที่ดินของนายโชย-นางใบ ไกรพูน เพื่อให้สะดวกในการออกเดินบิณฑบาต พอเจ้าของที่ดินทราบข่าวว่ามีหลวงตา ๒ รูป มาปักกลดในที่ดินของตนก็ได้มานิมนต์ให้พักภาวนาอยู่ต่อไป เพราะว่าเจ้าของที่ดินเขาก็มีศรัทธาที่จะถวายที่ดินตรงนี้ให้สร้างเป็นวัดอยู่แล้ว พอท่านองค์หลวงตา ได้ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อท่านได้ทราบ หลวงปู่ดูลย์ ก็ได้เดินทางมาดูพื้นที่ที่โยมถวายด้วยตนเอง และหลวงปู่ดูลย์ท่านได้บอกกับหลวงตาผนึก ว่า

    “ให้อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ไปไม่ต้องคิดการก่อสร้าง ตั้งใจภาวนา สร้างจิตสร้างใจตัวเอง ให้เป็นธรรม ให้มีภูมิอรรถภูมิธรรม มีคุณธรรมประจำใจ ส่วนทางด้านวัตถุ สิ่งของ ปัจจัย ๔ นั้นจะมีศรัทธาญาติโยมมาสร้างให้เองไม่ต้องคิดก่อสร้างให้ลำบากเขามีเจ้าของหมดแล้ว”

    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ก็ได้อยู่จำพรรษาที่นี่ ตลอดมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย

    (มีต่อ)
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    paragraph_paragraph__573.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล-หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


    ช่วงนิมิตเห็นวัดป่าเขวาสินรินทร์

    ครั้งเมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองเวียน หลวงตาได้นิมิตเห็นศาลาวัดป่าเขวาสินรินทร์ เมื่อสร้างศาลาหลังแรกเสร็จท่านจึงได้พูดบอกข้าพเจ้าว่า

    (๑) ศาลาหลังนี้มันเหมือนที่ในนิมิตเห็นทุกอย่าง เช่น เชือกราวตากผ้าสีแดง ศาลาหลังเล็กๆ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ในพรรษา หลวงตาได้อาพาธไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์ หลวงตามีอาการท้องเสีย ห้องน้ำก็อยู่ไกลกุฎี ท่านเดินเข้าเดินออกห้องน้ำหลายๆ รอบ ข้าพเจ้าได้ดูอยู่ห่างๆ เพราะเพิ่งบวชมาใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับองค์หลวงตามากนัก ช่วงบ่ายวันนั้นเองมีฝนตกพรำๆ อยู่ตลอด เมื่อหลวงตามีอาการเพลียมาก ก็ยืนจับต้นไม้อยู่เพื่อพักเอาแรงเนื่องจากท้องเสียหนัก พอมีแรงแล้วจึงเดินไปเพื่อเข้ากุฎีอีก ส่วนข้าพเจ้า (พระใหม่ในตอนนั้น) จะเอาร่มไปให้ก็ไม่ก็กล้า ได้แต่มองด้วยสายตาไปมา...

    พอหลวงตาหมดแรงแล้วก็นั่งอยู่บนโซฟาหน้ากุฎี ข้าพเจ้าเห็นท่านนั่งอยู่นานผิดสังเกตจึงเดินไปดูทั้งกล้าๆ กลัวๆ เห็นท่านหลวงตานั่งนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เรียกดูท่านเงียบอยู่ ข้าพเจ้าเดินวนรอบกุฎีหนึ่งรอบ แล้วกลับมาเรียกท่านหลวงตาอีกครั้ง ก็ยังนั่งนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม พอเดินรอบที่สามได้มาหยุดนั่งใกล้ๆ แล้วเรียกเบาๆ หลวงตาท่านก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเคย องค์ท่านนั่งในถ้าขัดสมาธิอยู่ ตัวองค์ท่านเริ่มสั่นแล้วมีอาการแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจึงเรียกด้วยเสียงดังขึ้น องค์ท่านจึงได้ลืมตาขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงพยุงตัวองค์ท่านลุกขึ้นแล้วพาองค์ท่านเข้าในกุฎี ประคองตัวท่านให้นอนลง องค์ท่่านนอนกำหนดสติทำสมาธิไปด้วย

    (๒) และเกิดนิมิตขึ้น ได้มีรถแสตนเลต สีขาวสวยงาม มีคนขับนั่งอยู่โดยไม่พูดไม่จาอะไร องค์ท่านได้พิจารณาในจิตรู้ได้ทันทีว่า รถคันนี้คือ ยานพาหนะ ที่จะพาดวงจิตวิญญาณ ขององค์ท่่านไปเกิดอีก องค์ท่านจึงพูดอยู่ในจิตว่า “เรารู้แล้วท่านจะมาพาเราไปเกิดอีก เราจะไม่ไปเกิดอีกแล้ว” ทั้งรถทั้งคนนั้นก็หายแวบไป ส่วนข้าพเจ้าก็ได้ออกจาก กุฏิมาเรียกพระอีกรูปหนึ่งให้ไปบอกโยม ให้มาช่วยดูท่านหลวงตาหน่อย ว่าองค์ท่านเป็นอะไรไป แล้วพอโยมมา พาองค์ท่านไปอยู่ที่ศาลา มีแคร่ไม้ไผ่ให้องค์ท่่านนอนพักอยู่บนนั้น พอมาพากันนั่งดูอยู่ เห็นองค์ท่านนอนนิ่งอยู่นานผิดสังเกต จึงเข้าไปจับตัวองค์ท่านดูองค์ท่่านไม่ขยับตัวเลย จึงได้กดหน้าท้ององค์ท่่านดูพบว่า หน้าท้องขององค์ท่าน แข็งเหมือนกะลามะพร้าว จึงพากันนำตัวองค์ท่่านเข้าโรงพยาบาลสุรินทร์ เมื่อหมอตรวจเช็คดู ก็พบว่าลำไส้อักเสบ จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลำไส้ที่เสียออก เมื่อหมอทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาการป่วยขององค์ท่านก็ไม่ดีขึ้น หมอก็ได้เรียกลูกๆ ขององค์ท่านมาปรึกษาว่า จะขอผ่าตัดรักษาองค์ท่่านอีกครั้ง พอองค์ท่านได้ยินว่าจะผ่าตัดอีกครั้ง องค์ท่านจึงบอกกับลูกๆ ว่าให้เอาตัวองค์ท่านไปตายที่วัดดีกว่า

    ลูกๆ จึงขออนุญาตหมอนำองค์ท่านกลับวัดป่าเขวาสินรินทร์ มานอนพักอยู่ที่ศาลาวัด ฉันอาหารอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้ำก็ฉันไม่ได้ทำให้องค์ท่่านคอแห้ง พูดเสียงไม่ออกต้องเอาหูแนบใกล้ปากท่านพอฟังได้ความ ขณะนั้นโยมได้ไปนิมนต์ท่่านพระอาจารย์สุพร (พระครูภาวนาปัญญาภรณ์) มาแสดงธรรมให้ฟังหนึ่งกัณฑ์ เมื่อแสดงธรรมจบ ท่านพระอาจารย์สุพร ได้ถามองค์หลวงตาว่าท่านอยากฉันอะไรบ้าง องค์ท่านก็บอกว่าอยากฉันโค้ก ท่านพระอาจารย์สุพร จึงได้หันมาบอกกับญาติโยมว่าท่านอยากฉันโค้ก ญาติโยมได้ฟังต่างก็ตกใจเพราะหมอสั่งห้ามไว้ว่าห้ามฉันน้ำอัดลมทุกชนิด พระอาจารย์สพร ก็แย้งไปว่าจะให้ท่านอดตาย หรือว่าให้ท่านหายอยากแล้วค่อยตาย พอท่านพระอาจารย์สุพร ให้โยมเอาโค้กมาแล้วเทใส่แก้วเอาเกลือใส่ไปด้วยแล้วให้องค์หลวงตาฉันโดยการใช้หลอดดูดหมดแก้ว แล้วถามองค์ท่านว่าเอาอีกไหม หลวงตาบอกว่าเอาอีกท่านพูดพอได้ยินเสียงบ้าง ท่านพระอาจารย์สุุพร จึงเทครึ่งขวดที่เหลือลงแก้วใส่เกลือเช่นเดิมให้องค์ท่่านฉันจนหมด หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สุพร ได้บอกโยมให้ซื้อโค้กไว้เป็นลัง ท่านก็นิมนต์กลับวัดป่าประสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

    หลังจากท่านพระอาจารย์สพร กลับวัดได้หนึ่งอาทิตย์ ต่่อมาได้มีญาติโยมไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์สุุพร ท่านได้ถามโยมถึงอาการป่วยขององค์หลวงตาว่าท่านเดินได้หรือยัง โยมตอบท่านพระอาจารย์สุพร ว่ายังครับ องค์หลวงตาพูดได้แต่แผลที่ผ่าตัดเกิดติดเชื้อมีหนองอย่างมาก แต่แรกลูกคนที่ดูแลหลวงตาเกิดการท้อใจจึงงดให้ยากับหลวงตา แต่เมื่อมีหนองมากขึ้นจึงทำความสะอาดแผลให้ใหม่ให้ฉันยาแก้อักเสบเหมือนเดิมแผลที่อักเสบนั้นค่อยๆ หายจนปกติ และองค์หลวงตาก็ลุกขึ้นนั่งได้และเดินได้ตามลำดับพอออกพรรษาเดินได้แข็งแรง

    ท่านองค์หลวงตาก็คิดถึงพระครูบาอาจารย์ไม่เคยมาเยี่ยม ตอนตัวเองป่วยไม่สบาย แต่องค์หลวงตากลับคิดถึง องค์หลวงตาไปเยี่ยม ทุกๆ รูปที่คิดถึง โดยทิ้งให้พระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียวเฝ้าวัดอยู่ท่านองค์หลวงตาเป็นพระที่ไม่ถือตัวไม่มีทิฐิมานะถือตัวถือตนอะไรกับใคร

    (๓) นิมิตเห็นในกลางหน้าอก ว่ามีดวงแก้วคล้ายตะเกียงเปาะดูด้านหนึ่งดังดวงแก้วสุกใส แต่อีกด้านหนึ่งยังเป็นเงาสลัวๆ องค์ท่่านพิจารณาแล้วเห็นว่า จิตใจยังไม่บริสุทธ์เต็มที่ จึงได้เร่งปฏิบัติอย่างไม่ลดละ

    (๔) นิมิตเห็นว่ามีตอไม้ผุดขึ้นมามีสีเหลืองคล้ายสีจีวรเมื่อเพ่งดูไป มันหมุนแล้วละลายไปต่อหน้า เมื่อพิจารณาแล้วรู้ได้ว่าไม่มีเชื้ออะไรเกิดอีกต่อไปแล้ว

    (๕) นิมิตเห็นคนถากไม้ แต่ไม้ที่ถากอยู่เป็นแก่นไม่มีกระพี้ จิตของท่านผุดคิดขึ้นมาว่าไม้ท่อนนี้จะเอาไปทำอะไรก็ได้ เอาไปสร้างบ้านสร้างเรือนก็ได้ทั้งนั้น แต่คนที่กำลังถากไม้อยู่นั้นพูดขึ้นว่า “จะทำไหมนาแปลงนี้ถ้าทำจะได้ข้าวปีละ ๒๐ เกวียน (ข้าพเจ้าผู้เขียนตรึกถึงอายุสังขารของท่านจะอยู่ได้อีกประมาณ ๒๐ ปี) ตอนไปเยี่ยมหลวงตาคืน ปสนฺโน ที่วัดหน้าเรือนจำ ได้โอกาสเข้านมัสการท่าน กราบ...แล้วพูดว่าผมมาขอปฏิบัติด้วย...ขอให้ดูผมให้เต็มที่เพราะผมมีกิเลสมาก แล้วกลับมายังที่พัก เมื่อปวารณาตนเช่นนั้น หลวงตาก็ไม่กล้าพักจำวัดได้ไปเดินจงกรมอยู่นาน หลวงตามีอาการแน่นหน้าท้องคล้ายจะตายให้ได้ ท่านจึงเดินเข้าไปในกลดแล้วนอนตะแคงขวาดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา พอจิตสลัดออกจากร่างทันที จิตเห็นร่างอยู่ส่วนร่าง วิญญาณอยู่ส่วนวิญญาณ จิตอยู่ส่วนจิต จิตนี้ไม่มีตัวไม่มีตน จิตคิดว่านี่เราตายแล้วหรือว่าเรามาตายโดยไม่มีใครรู้เห็น น่าสังเวชยิ่งนัก จิตร้องไห้อยู่คนเดียวพอได้สติ จิตคิดว่า อ้อ คนตายเป็นอย่างนี้นี่เอง จิตจึงหยุดร้องไห้จิตถอนออกมา จึงรู้ได้ว่าคนตายเป็นอย่างนี้แหละหนอ จึงได้เล่าให้หลวงตาคืนฟัง และรอเวลาจะเรียนให้หลวงปู่สุวัจน์ ทราบเมื่อหลวงปู่กลับมาจากเมืองนอก หลวงตาได้เข้าไปกราบเรียนท่านหลวงปู่สุวัจน์ ให้ทราบความตามที่ตนได้ประสพพบเห็น หลวงปู่สุวัจน์ บอกหลวงตาว่าถูกทางแล้วปฏิบัติต่อไป...

    (๖) หลวงตาเร่งปฏิบัติอย่างเต็มที่ไม่นานนักก็เกิดนิมิตขึ้นอีก ท่านเห็นตนเองผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ตัวท่านดำเหมือนตอตะโก จิตคิดพิจารณาได้ว่าตัวเองพึ่งพ้นจากนรก จิตตกนรกไม่ใช่กายตกนรก “เราปิดทางนรกได้แล้ว เราจะไม่ตกนรกอีกแล้ว” ท่านพูดอย่างนี้

    _4_131.jpg
    หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต


    ครั้งต่อมาท่านองค์หลวงตาได้มีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดภูจ้อก้อ จังหวัดมุกดาหาร หลวงปู่หล้าได้เล่าภูมิธรรมชั้นโสดาบัน ให้หลวงตาฟังแล้วกำชับกับญาติโยม ที่ตามไปด้วยว่า “อย่าไปถามเลขถามหวยกับท่านนะ ท่านไม่รู้อะไรหรอก”

    (๗) นิมิตเห็นพระพุทธรูป ๒ องค์ และมีเสียงดังบอกมาว่ายังมาไม่ครบขาดอีก ๑ องค์...หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น

    (มีต่อ)
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    paragraph_1_141.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล


    เมื่อสมัยตอนหลวงตายังเป็นฆราวาส เป็นธรรมดาเองที่จะต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การดำเนินชีวิตแบบบ้านนอกคอกนา มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงตาได้ทำอาวุธชนิดหนึ่งสำหรับการล่าสัตว์ อาวุธชนิดนั้นคือหน้าไม้ซึ่งเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพมาก มีความเร็วสูงชนิดหนึ่ง เมื่อหลวงตาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีการเอาไปทดลองความแม่นยำ และได้ทำลูกดอกเพียงดอกเดียว แล้วเดินทางไปที่ทุ่งนาตรงไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นนกเอี้ยงตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อยู่โพล่แต่หัวมาให้เห็น จึงยกหน้าไม้ขึ้นใส่ลูกดอกแล้วเล็งไปที่หัวนกตัวนั้นแล้วเหนี่ยวไกทันที อนิจจาแม่นเหมือนจับวางไม่มีผิด หลวงตาเกิดความดีใจมากในตอนนั้น อำนาจความดีใจนี้เองทำให้มีการจองเวรจองกรรมซึ่งกันและกันขึ้น

    ครั้นแล้วเมื่อหลวงตามาบวช กฎกรรมอันนั้นก็ตามสนององค์ท่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงตามีอาการปวดศีรษะต้องนำส่งโรงพยาบาล ฉันอะไรไม่ได้ ฉันไปสักพักหนึ่งก็มีอาการอาเจียนออกมาหมด เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฉันอาหารและน้ำเข้าไป ตอนแรกๆ หมอยังหาสาเหตุไม่พบ หลวงตาต้องทนทุกขเวทนาพอสมควร ภายหลังหมอได้พาหลวงตาไปทำการเอ็กซเรย์สมอง จึงได้พบเห็นว่ามีเลือดขังอยู่ในสมอง แต่อยู่ในรอบนอกสมองซีกซ้ายด้านหน้ากดทับสมองอยู่ทำให้สมองไม่สั่งงาน หมอจึงทำการรักษาด้วยการเจาะกะโหลกเพื่อที่จะเอาเลือดที่ขังอยู่ออก แล้วหมอก็ใส่สายยางให้เลือดที่เหลือไหลออกมา จุดนี้เองซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่หลวงตาเคยยิงนกเอี้ยงตัวนั้น สายยางที่ติดอยู่บนหัวของหลวงตา อยู่ไม่ต่างอะไรกับลูกดอกที่ปักหัวนกเอี้ยงตัวนั้นเลย

    ทุกครั้งที่หลวงตาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์จึังจบลงองค์ท่าน ก็จะหัวเราะ...ฮึ...ฮึ...เบาๆ...นี่แหล่ะท่านทั้งหลายกรรมที่กระทำแล้วบางครั้งก็คิดว่าเป็นกรรมที่เล็กน้อยคิดว่าไม่เป็นอะไร...แต่หาใช่เป็นไปตามอย่างที่เราคิดไม่ มันอยู่ที่การเจตนาที่ทำลงไปต่างหาก กรรมจะหนักหรือเบาอยู่ที่เจตนานะท่านทั้งหลาย...

    paragraph_4_157.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ในอิริยาบทสบายๆ


    คติธรรมของหลวงตา

    องค์หลวงตามักจะพูดธรรมะสั้นๆ ว่า
    “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง”
    “ทำจิตทำใจให้เกิดศีล”
    "ทำจิตทำใจให้เกิดสมาธิ”
    "ทำจิตใจให้เกิดปัญญา”

    “จงมอบกายถวายชีวิตให้แก่...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียสละให้หมด...พุทธะ คือผู้รู้...ผู้ตื่น...ผู้เบิกบาน...ผู้สว่างไสว...สวรรค์อยู่ในอก...นรกอยู่ในใจ...นิพพานอยู่ที่ไหน...ก็อยู่ในใจนี่เอง...ทำใจให้หมดความอยาก...สั่งสมบุญให้เกิดให้มี สร้างบารมีไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นคนแล้วจะเกิดแต่เป็นคนอยู่อย่างนั้นไม่ใช่...เดียวจะขาดทุนไม่มีกำไร...ตกนรกซ้ำอีกนะไม่ใช่ของดีนะ...เดียวตกนรกนะ...แล้วก็ยกหัวแม่มือชี้ไปยังผู้นั่งฟังแล้ว...หัวเราะ...กำชับแล้วกำชับอีกจนกว่าผู้ฟังจะกลับไป...”

    “ทำจิตทำใจ ให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ ไปที่ไหนอยู่ที่ไหนให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลานะ ไม่มีอะไรแจกหรอกมีเท่านี้แหละ...”

    หลวงตาแนะนำคณะญาติโยม ที่มาทำบุญและผู้ไปมาคารวะองค์หลวงตา ท่านจะให้ธรรมะเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า “จงทำจิตใจของตัวเองให้มีศีล ให้รู้จักศีลของตัวเอง ให้มอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ประทับที่จิตใจ ให้ใจมีคุณธรรม”

    หลวงตาท่านสอนและให้ธรรมะปฏิบัติแก่พระ-เณร ที่มากราบคารวะท่านว่า “บวชมาแล้วให้ตั้งจิตตั้งใจประพฤติตนให้ดี ตรวจดูศีลของตน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ชีวิตนี้เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ ให้ภาวนาให้เกิดแสงสว่างในใจ”

    paragraph_7_175.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ในอิริยาบทสบายๆ อีกมุมหนึ่ง


    ปฏิปทาของหลวงตา

    ท่านเป็นพระผู้มีจริยาวัตรอันงดงามเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตาในการสงเคราะห์ศรัทธาญาติโยมผู้มากราบนมัสการท่านมีอยู่มิได้ขาด ท่านมีรอยยิ้มอันเบิกบานเป็นที่ประทับใจของผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระที่มีความกตัญญูและเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ยิ่งชีวิต มีปฏิปทาที่เรียบง่าย มีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้ที่มาขอความอนุเคราะห์จากองค์ท่าน ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าใครก็ตามเข้าหาท่านได้ทุกเวลา ไม่มีวิธีรีตองให้มาก

    หลวงตาเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยฝ่าฝืนคำแนะนำจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เช่น เมื่อหลวงปู่ดูลย์บอกให้อยู่ตรงนี้อยู่ที่นี่แหละ แล้วท่านหลวงตาก็อยู่ เมื่อบอกให้ภาวนา ท่านก็ภาวนา บอกท่านไม่ให้ก่อสร้าง ท่านก็ไม่ก่อสร้าง ดังนั้น ตลอดชีวิตของท่านจึงได้มีครูบาอาจารย์และพระเถรานุเถระต่างๆ เมตตาแนะนำการปฏิบัติภาวนา รวมทั้งให้ความอนุเคราะห์องค์ท่านอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด อาทิเช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์, หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (พระโพธิธรรมมาจารย์) วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์, ท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปัณฑิโต) วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์, พระอาจารย์สุพร อาจารธมฺโม (พระครูภาวนาปัญญาภรณ์) วัดป่าปราสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เป็นต้น

    โดยเฉพาะหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ นั้นถือได้ว่าเป็นครูบาอาจารย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของท่าน หลวงตาได้ยกย่องและให้ความเคารพรักหลวงปู่สุวัจน์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของข้ออรรถข้อธรรมทั้งหลาย หลวงตาต้องกราบขอความเมตตาให้หลวงปู่สุวัจน์พิจารณาให้คำแนะนำทุกครั้งไป หลวงปู่สุวัจน์เองก็ได้ให้ความเมตตากับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยก่อนที่หลวงปู่สุวัจน์จะละสังขารไปในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ท่านได้บอกกล่าวกับคณะศิษยานุศิษย์ของท่านให้ทราบถึงภูมิธรรมของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ไว้ว่า “ให้ดูแลหลวงตาแก่ๆ รูปนี้ให้ดี ถึงจะมีเงินทองมากมายขนาดไหน ก็หาซื้อไม่ได้สำหรับหลวงตาแก่ๆ รูปนี้นะ”

    ทางด้านลูกศิษย์ได้ให้ความเคารพและดูแลอุปัฏฐากเป็นอย่างดีมาโดยตลอด

    %CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%CA%D8%C7%D1%A8%B9%EC%20%CA%D8%C7%E2%A8%202.jpg
    หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ

    (มีต่อ)
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    paragraph_2_198.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ได้เมตตามาโปรดญาติโยม
    ในวันเปิดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙


    วาระสุดท้าย

    หลวงตาอาพาธหนัก เข้าพักรักษาตัวครั้งสุดท้ายวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ เวลาช่วงเย็น ณ โรงพยาบาลสุรินทร์ อาคาร ๑๒ ชั้น ๒ ห้องพิเศษ วี.ไอ.พี. ศิษยานุศิษย์ได้เข้าเยี่ยมอาการป่วยของหลวงตาเป็นระยะ อาการอาพาธหลวงตาไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงและทรุดลง หลวงตาหายใจเองลำบากมาก พอถึงเวลาเที่ยงคืนวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ อาการหลวงตาทรุดหนัก หมอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจให้หลวงตาและย้ายหลวงตาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. เวลาบ่ายโมง ของวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ซึ่งตรงกับวันโกน ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ก่อนวันออกพรรษา ๑ วัน หลังจากคณะแพทย์ได้นิมนต์หลวงตา ไปที่ห้อง ไอ.ซี.ยู. หลวงตาต้องอยู่กับเครื่องช่วยหายใจตลอด มีบางช่วงหมอได้เอาเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อให้หลวงตา ลองหายใจเองอาการก็ทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง ช่วงวันที่ ๗ และ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หมอถวายการรักษาตรวจดูอาการ และปรึกษากันว่าต้องฟอกไตให้หลวงตา และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พอทำการฟอกไตครั้งที่ ๓ ในวันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พอคณะแพทย์ฟอกไตเสร็จ อาการป่วยของหลวงตาไม่ดีขึ้น จนถึงวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หลังจากองค์หลวงตาต้องรักษาอาการอาพาธอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. เป็นเวลาเกือบ ๑ เดือนเต็ม

    ในช่วงกลางวันของวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ พระผู้อุปัฏฐากในช่วงกลางวันได้สังเกตเห็นว่าผิวพรรณขององค์หลวงตา เปล่งปลั่งกว่าทุกวัน แต่ค่าออกซิเจนในร่างกายของหลวงตาลดลงมาก พอตกถึงกลางคืนอาการของหลวงตาเริ่มมีการถ่ายท้องผิดปกติถึง ๔ ครั้งติดต่อกัน ซึ่งข้าพเจ้าเฝ้าดูอาการหลวงตาอย่างใกล้ชิด พอถึงวันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หลังจากคณะแพทย์ตรวจอาการหลวงตา ระบบเต้นของหัวใจต่ำลงกว่าปกติ คณะแพทย์ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจเพื่อช่วยประคองอาการของหลวงตา เพื่อที่จะนิมนต์หลวงตามาที่วัดป่าเขวาสินรินทร์ เพื่อที่จะให้องค์ท่านละสังขารที่วัดของท่าน

    paragraph_6_654.jpg
    สรีระศพของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล


    ในช่วงนี้เองได้มีศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย และพระเถรานุเถระ มาเข้าเฝ้าดูอาการครั้งสุดท้ายของหลวงตาไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปัณฑิโต เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์) ได้มาเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. และได้นำคณะสงฆ์สวดบทโพชฌงค์ให้หลวงตาฟัง (๓ จบ) หลังจากนั้นก็ได้แสดงธรรมเทศนาให้ฟังอีก เนื้อหาของการแสดงธรรมเทศนาให้ตั้งสติมีลำดับการเข้าออกของจิต ตามแนวทางของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล สมควรแก่เวลาแล้ว ท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ ก็ลากลับ หลวงตามีอาการสงบนิ่งลมหายใจเริ่มลดลงเบาลงเรื่อยๆ ส่วนท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ เดินทางกลับไปถึงวัดบูรพาราม ทางด้านหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ก็ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ ณ วัดป่าเขวาสินรินทร์ ในเวลา ๑๘.๔๐ น. ของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ตรงกับวันพุธที่ ๒ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ รวมสิริอายุได้ ๙๐ ปี เดือน ๑๖ วัน ๓๒ พรรษา

    หลวงตาได้จากไปต่อหน้าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้าดูอาการ

    ขอขอบคุณคณะแพทย์ได้ทำการรักษาอาพาธองค์หลวงตา
    พ.อ.นพ.ธงชัย ตรีวิบูลย์วนิชย์
    คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสุรินทร์
    คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลบุรีรัมย์
    คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    รวมทั้งโรงทานและญาติโยมที่เกี่ยวข้อง

    สำหรับหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล นั้น ท่านเป็นพระผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น
    พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ได้บังเกิดขึ้นมาแล้วในโลก
    พระผู้อยู่เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ด้วยความเมตตาไม่มีประมาณ
    พระผู้ได้ล่วงลับดับขันธ์สู่พระนิพพานไปแล้วในที่สุด

    paragraph_2_213.jpg
    หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล-พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    ที่มา : คุณ bankatoom
    หนังสือสิริมงฺคโล รำลึก ที่ระลึกในงานประชุมเพลิงหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล
    วัดป่าเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
    http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=2351
    ขอบพระคุณที่มา :- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19939
     

แชร์หน้านี้

Loading...