หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    teachinglppaneuksirimungkalo.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ผีโป่งผาอีเมย | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่จันทา ถาวโร

    100 เรื่องเล่า
    Dec 13, 2021
    หลวงปู่จันทา ถาวโร พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมันจะเที่ยวจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านไปพักภาวนาที่ดงผาลาด อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ท่านก็ได้พบกับเสือมาอยู่ใกล้ๆท่าน แต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายท่าน และท่านก็เดินทางไปที่ผาอีเมย ซึ่งอยู่กลางดงผาลาด และได้เผชิญกับผีโป่งที่ผาอีเมยอีกด้วย
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่สรวง | เทวดาเดินดินแห่งภูตะแบง

    100 เรื่องเล่า
    469 views Jul 23, 2021
    หลวงปู่สรวง เป็นพระผู้ที่รักในความสันโดษสมถะ ชอบเดินป่าเดินเขา ประวัติของท่านไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไร แต่จะทราบกันแต่เพียงว่าท่านเป็นชาวกัมพูชา ที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาเห็นในความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหารของท่าน รวมทั้งได้เห็นจริยวัตรของท่าน จึงได้เกิดความศัทธรา ในแถบถิ่นอีสานใต้ แนวตะเข็บชายแดน แถวๆอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันหลวงปู่สรวงท่านได้มรณะภาพแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 สรีระสังขารของท่านไม่ได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา เหมือนเช่นคนธรรมดาทั่วไป ชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาจึงได้เก็บสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ที่วัดไพรพัฒนา ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และได้มีผู้คนหลั่งไหลไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างไม่ขาดสาย
    ผิดถูกประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กสิณไฟ กับไร่ข้าวโพด// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    6,295 views Dec 13, 2021

    ครูบาอาจารย์รูปหนึ่งทางภาคเหนือ ได้ฝึกเพ่งกสิณไฟจนสามารถเล่นปฏิภาคนิมิตได้ แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อท่านได้รับกิจนิมนต์ไปฉันภัตตาหารที่ไร่ข้าวโพด ท่านดันไปใช้กสิณไฟทำไร่ข้าวโพดเขาเสียหายโดยไม่เจตนา ยังความสลดใจให้เกิดขึ้นกับท่านเป็นอันมาก ถึงขนาดต้องสำวรระวังและเก็บตัวเงียบๆเรื่อยมา..


     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๓๓. ปางลี..ปางผี ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    73,971 views Dec 24, 2021

    เรื่องราวลี้ลับที่ปางลี ชายแดนเมืองปางซาง รัฐฉาน ซึ่งพระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยเดินธุดงค์จาริกไปพบเห็น.
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อาจารย์ยอด : กายทิพย์หลวงปู่ดู่ [พระ]

    อาจารย์ยอด
    47,084 views Dec 21, 2021
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpkawwatcruewan.jpg
    ประวัติ "หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์" ผู้สร้างพระปิดตา สัญลักษณ์แห่งการปล่อยวาง บูชาไว้ได้รับแต่ความเมตตา!
    เมื่อย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนนี้ ถ้ามีใครเอ่ยถึงคำว่า หลวงพ่อแก้ว คงเป็นที่น่าแปลกใจ และสงสัยไปตามๆ กันว่า ท่านเป็นใคร จำพรรษาอยู่วัดไหน มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงใด คำถามเหล่านี้จะตั้งขึ้นมา สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักท่านมาก่อน แม้แต่บุคคลที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับที่ท่านจำพรรษาอยู่ แต่ในช่วงระยะเวลา 150 ปี ให้หลัง จนถึงปัจจุบัน คำว่า "หลวงพ่อแก้ว" คำนี้รู้สึกว่าจะเป็นคำที่ คุ้นหู คุ้นปาก กันมากในหมู่สาธุชนทั่วไป เพราะเมื่อเอ่ยถึงหลวงพ่อแก้วแล้วทุกคนก็ระลึกถึง
    คุณธรรมความดี และความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของท่านไปต่างๆนานาถึงแม้ท่านจะล่วงลับไปเป็นเวลานานแล้วก็ตามแต่คุณงามความดี
    ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทของสาธุชนทั้งหลาย ดุจท่านยังมีชีวิตอยู่ฉะนั้น แม้กระทั่งปัจจุบัน วัดวาอารามต่างๆ ที่ทราบถึงอภินิหารจากพระเครื่องของท่าน บางวัดหากจะสร้างพระเครื่องราง ของขลัง ยังนำชื่อของท่านไปตั้งเป็นชื่อพระเครื่องต่างๆ ดังที่เราได้รู้ได้เห็นกันมาแล้ว เช่น หลวงพ่อแก้วหลังพระ บ้าง หลวงพ่อแก้วหลังอุ บ้าง ดังนี้เป็นต้น

    แต่ที่แน่ๆ ถ้าใครเอ่ยถึง " หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ " แล้ว ชื่อเสียงกิตติศัพท์ก็เป็นที่รู้กันไปในหมู่สาธุชน ทั้งชาย-หญิง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็ตาม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านมีดีอะไร และจะเป็นไปได้หรือที่พระรูปร่างสันทัดรูปหนึ่ง ซึ่งรับหน้าที่เป็นสมภารเจ้าวัด ได้ร่วมแรงร่วมใจกับญาติโยม บูรณะสถานที่ซึ่งรกชัฏไปด้วยไม้เบญจพรรณต่างๆ ให้กลายสภาพเป็นวัดจนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์เหล่านี้ จึงทำให้ท่านมีชื่อเสียง จนถึงกับเป็นที่รู้จัก และเคารพนับถือของสาธุชนทั่วไป โดยถึงกับวัดวาอารามต่างๆ ต้องนำชื่อของท่านไปตั้งเป็นชื่อของพระเครื่อง พร้อมกับเน้นหนักให้ญาติโยมรู้ว่า สร้างมาจาก "ผงของหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์" จนเป็นที่รู้จักกันถึงทุกวันนี้ เหตุผลเพียงท่านี้ยังไม่พอหรอกที่จะทำให้ชื่อเสียงและคุณธรรมความดีของท่านระบือลือลั่นไปถึงขนาดนั้น แล้วอะไรเล่า ที่เป็นเกียรติประวัติและคุณความดีของท่าน แต่อยากเชิญท่านที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ หรือ่านมาแล้วก็ตาม มาลองพิจารณาถึงเกล็ดประวัติย่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของท่านนั้นว่า ท่านมีคุณธรรมอะไร มีความศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน สมควรหรือไม่ที่วัดวาอารามต่างๆ ตลอดจนสาธุชนทั้งหลายที่อยู่ใกล้หรือไกลก็ตาม ต่างยกย่องสรรเสริญ

    ชาติภูมิ

    "หลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์"จากหลักฐานที่ค้นคว้าได้ หลวงพ่อแก้วท่านถือกำเนิดมาจากครอบครัวของชาวประมง ทางจังหวัดเพชรบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ.2337 เมื่อท่านมีอายุพอสมควรแล้ว บิดารมารดาของท่าน ก็ได้พาท่านไปฝากกับสมภารวัดในละแวกนั้น เพื่อให้ท่านได้มีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ เพราะการศึกษาในสมัยนั้นยังไม่เจริญก้าวหน้า ต้องอาศัยเรียนจากวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ให้ความรู้ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้วิถีชีวิตของท่านได้เปลี่ยนเส้นทางจากชาวประมง กลายมาเป็นเด็กวัด และภายหลังได้เป็นหลวงพ่อแก้วในกาลต่อมา ดังที่รู้จักกันของสาธุชนทั่วๆ ไป ถึงทุกวันนี้

    ชีวิตในปฐมวัย ในระหว่างที่ท่านได้ใช้ชีวิตศึกษาเล่าเรียนอยู่ในวัดนั้น ปรากฏว่าท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยแตกต่างไปจากเด็กทั่วๆไป คือ แทนที่ท่านจะเกเรหรือซุกซนตามวิสัยเด็กทั่วๆไป แต่ตรงกันข้าม ท่านกลับมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนๆ ตลอดจนสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ที่อาศัยวัดเป็นอย่างดี ประกอบด้วยท่านเป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะและมีสติปัญญาอันชาญฉลาด ในการเรียนรู้วิชาการต่างๆ จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ครูสอนเป็นอันมาก ความแตกต่างที่ผิดไปจากวิสัยของเด็กนี้เอง ที่ทำให้สมภารเจ้าวัด เล็งเห็นว่า ถ้าเด็กคนนี้มีโอกาสบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นกำลังอันสำคัญแก่พระศาสนามิใช่น้อย ด้วยเหตุนี้เอง ท่านสมภารเจ้าวัดจึงจัดแจงให้เด็กชายแก้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรแก้ว ตั้งแต่นั้นมา

    เช่าพระคลิ๊กที่นี่ เช่าพระที่นี่

    การบรรพชาอุปสมบท

    เมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนมีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อมีอายุครบบวชแล้ว ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา อาศัยที่ท่านมีความเพียร ความอดทนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ท่านจึงมีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าคำสอนในพระพุทธศาสนาให้แตกฉานยิ่งขึ้น จึงได้เข้ามาศึกษาบาลีไวยากรณ์ ซึ่งตามภาษาโบราณ เรียกกันว่า เรียนหนังสือใหญ่ ที่กรุงเทพฯ จนมีความรู้ความสามารถ เป็นอย่างยิ่ง
    การเผยแพร่พระศาสนา

    เมื่อท่านได้ศึกษาพระพุทธวจนะตามพระบาลี จนมีความรู้ความเข้าใจดีแล้ว อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง มาตั้งแต่วัยเด็ก ประกอบกับท่านได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าอย่างขว้างขวาง เมื่อมีวิชาความรู้พอที่จะแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้แล้ว ท่านจึงตั้งใจจะจาริกแสวงบุญ โดยเผยแพร่พระพุทธวจนะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข และเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลกเป็นอันมาก เพื่อแบ่งส่วนกุศล ความรู้ ให้แก่ผู้ที่สนใจหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา ในสมัยนั้นตรงกับรัชกาลที่สอง

    ซึ่งวงการศาสนากำลังก้าวสู่ความเสื่อม ประกอบกับลัทธิศาสนาของประเทศทางฝ่ายตะวันตก ได้เข้ามาเผยแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาอย่างมากมาย เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนไทยลืมสัจจธรรมอันแท้จริงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำครั้งนั้นนับว่ามีอิทธิพลมากต่อสภาพบ้านเมืองของเราในขณะนั้น เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่า ทางบ้านเมืองหรือในวงการพระศาสนาไม่มีการตื่นตัวแล้วไซร้ ศาสนาพุทธในประเทศไทย ก็คงถูกกลืนหายไปในเวลานั้นเป็นแน่ "หลวงพ่อแก้ว" ในฐานะที่ ท่านมีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง ซึ่งเราก็ได้ทราบกันดีมาแล้ว ท่านจึงตกลงใจในอันที่จะออกประกาศสัจจธรรมแก่ชาวโลก ประกอบกับท่านมีความประสงค์ที่จะท่องเที่ยวโดยการเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาความวิเวกทางกายและใจ ดังนั้น ท่านจึงเริ่มต้นธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ขึ้นเหนือบ้าง ลงใต้บ้าง โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ท่านต้องเผชิญกับความลำบากต่างๆ ถึงแม้ท่านจะต้องต่อสู้กับความหนาวเย็นของอากาศ สภาพแวดล้อมของธรรมชาติ ตลอดจนการกระทำ และความคิดเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ มีจิตใจเด็ดเดี่ยว พร้อมเสมอที่จะเผชิญต่ออุปสรรคต่างๆ โดยท่านคิดว่า อุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องพิสูจน์กำลังใจว่าจะท้อถอยหรือไม่ ท่านอาศัยความเมตตา กรุณา ที่ท่านเจริญเป็นนิตย์ กับทั้งท่านมีหลักธรรมของพระพุทธองค์เป็นอาวุธ คือธรรมาวุธ พร้อมที่จะฟันฝ่าต่ออุปสรรคทั้งหลาย ให้ลุล่วงไปด้วยดีตลอดมา
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    คุณธรรมหลวงพ่อแก้ว

    หลวงพ่อแก้ว ท่านเป็นพระที่มีคุณธรรมสูง มีคุณธรรมเป็นเวทย์มนต์ คาถาขลังและศักดิ์สิทธิ์ ท่านตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นภาคพื้นในจิตใจของท่าน จิตใจของท่านเปี่ยมไปด้วยความรัก และความสงสารในสัตว์โลก พลอยยินดีด้วยเมื่อเห็นเขาได้ดี และวางใจเป็นกลาง ไม่ดีใจและไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ อาศัยความที่ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาจิตสูงเช่นนี้ ท่านจึงชอบสร้างพระเป็นรูปพระปิดตา เพราะพระปิดตาแบบนี้เป็นสัญญาลักษณ์แห่งการไม่ดูไม่มองอะไร คือไม่เพ่งโทษ และหาโทษผู้อื่น ตั้งความเมตตาและกรุณา เที่ยงตรงต่อมนุษย์และสัตว์อื่นเสมอกันหมด ดุจดังพื้นแผ่นดินที่มั่นคง ไม่ยินดียินร้ายในของหอมและของเหม็นที่พวกมนุษย์ทิ้งลงแผ่นดิน ฉะนั้นหลวงพ่อแก้ว ท่านวางจิตเป็นกลาง ไม่รักคนนี้ เกลียดคนนั้น หรือชังคนโน้น ไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน ท่านถือหลักว่า ใครใคร่ลาภ จงได้ลาภ ใครใคร่บุญ จงได้บุญ
    วิธีสร้างผงของหลวงพ่อแก้ว
    การสร้างพระปิดตาหลวงพ่อแก้วนั้น ก็ไม่มีอะไรมากนัก โดยปกติแล้ว หลวงพ่อแก้ว ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยละเอียดรอบคอบเป็นปกติ ท่านเป็นผู้เห็นการณ์ไกล คือ ในขณะที่ท่านสอนบาลีไวยากรณ์อยู่นั้น ท่านก็ได้เก็บเอาผงที่ลบจากอักขระเอาไว้ เพราะการสอนหนังสือในสมัยนั้นจะต้องเขียนต้องลบตัวอักขระบนกระดานดำจริงๆ และนิยมกันว่า ผงอักขระที่ลบจากการเรียนภาษาบาลี ซึ่งเขียนเป็นอักษรขอมที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านก็จะนำมาผสมกับผงพระพุทธคุณ หรือผงมหาราช เป็นต้น เมื่อเอาผงดินสอ และผงพุทธคุณรวมกันเข้าแล้ว ท่านก็เอาเกษรดอกไม้ต่างๆ ใบไม้ เปลือกไม้ และเนื้อไม้ มาบดให้ละเอียดเป็นผง แล้วจึงนำมาผสมกับผงอักขระ เอาน้ำข้าวมาคละเคล้าเข้ากับผง เพื่อทำให้เหนียว จนได้หล่อเป็นรูปพระ การผสมผงเพื่อสร้างเป็นรูปพระหลวงพ่อแก้วนั้น ท่านเอาผงคุณพระกับผงดินสอที่ท่านเขียนอักขระบนกระดานดำ เอาผงทั้งสองอย่างนั้นมาผสมกันเข้าไว้ แล้วเอาใบไม้ ที่เรียกกันว่า ใบไม้รู้นอนต่างชนิด เช่น ยอดสวาท เป็นต้น
    เอาเกษรดอกไม้บ้าง มาบดเป็นผงให้ละเอียด ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยดีแล้ว จึงเอาน้ำข้าวเหนียวมาผสมทำให้เหนียว จึงเอากดลงในแม่พิมพ์ ก็สำเร็จเป็นองค์พระ อนึ่ง ชีวประวัติของหลวงพ่อแก้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์ จังหวัดชลบุรีนี้ อาจจะไม่ตรงกับที่ท่านได้ยินได้ฟังมา เพราะประวัติของท่านอาจมีผู้จำมาคลาดเคลื่อน ซึ่งมีความผิดแปลกกันไปต่างๆ ตามที่ตนเข้าใจ
    พุทธคุณที่ได้เล่าขานกันสืบทอดกันมาเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่ท่านสร้าง ก็ได้แก่ ทางด้านเมตตามหานิยม


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.horoguide.com
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา) วัดพะเนียงแตก
    สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน จังหวัดนครปฐมเป็นจังหวัดหนึ่ง ที่มีพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าอันมีชื่อเสียงโด่งดังมากตั้งแต่อดีต และในวันนี้เราจะมาคุยกันถึงหลวงพ่อที่ชาวบ้านในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตมักเรียกท่านว่า “หลวงพ่อเสือ” ครับท่านก็คือ พระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา) วัดพะเนียงแตก

    ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าแก่ของนครปฐม ที่น่าค้นคว้าประวัติของท่านมาก เนื่องจากท่านเกิดตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 3 จึงได้พบประวัติของท่านคลาดเคลื่อนไปบ้างก็มี การสืบค้นประวัติของท่านจากการบันทึกจากปากคำของศิษยานุศิษย์ของท่าน

    ซึ่งในจำนวนนี้ก็มี พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคต่อๆ มาอีกหลายรูป เช่น หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พระครูพรหมวิสุทธิ์ (วงศ์) วัดทุ่งผักกูด พระอุปัชฌาย์เต๋ วัดสามง่าม เป็นต้น และค้นหลักฐานรูปถ่ายคู่กับ พัดยศ ระบุร.ศ.127 (พ.ศ.2452) ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ก็พอจะสรุปได้ดังต่อไปนี้

    หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านเป็นชาวโพธาราม จังหวัดราชบุรี บางกระแสว่าโยมบิดาของท่านมีเชื้อสายมาจากทางเวียงจันทน์ จากการนับอายุจากปีที่ท่านมรณภาพก็พอสันนิษฐานได้ว่าท่านเกิดปีพ.ศ.2366

    เมื่อท่านมีอายุ ได้ 6 ปี โยมบิดา มารดาได้นำท่านไปฝากเรียนหนังสือที่วัดโพธาราม จนอ่านออกเขียนได้ และพอท่านอายุได้ 15 ปี พ.ศ.2381 ท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดโพธาราม โดยมีหลวงพ่อทานเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น

    จนกระทั่งท่านมีอายุครบบวช ปีพ.ศ.2386 ท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดบ้านฆ้อง (วัดฆ้อง) อ.โพธาราม ซึ่งในสมัยนั้นเป็นสำนักปฏิบัติธรรม และสอนวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ท่านก็ได้อยู่จำพรรษาและศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพุทธาคมต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์มอญรูปหนึ่ง ซึ่งมีวิทยาคมกล้าแข็งมาก

    หลวงพ่อทาท่านเป็นผู้ที่ขยันใฝ่ศึกษาหาความรู้และปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงเป็นที่รักใคร่ของพระอาจารย์ทั้งสอง และถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมด ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดฆ้องอยู่หลายปี จนศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจนเชี่ยวชาญแล้ว ท่านจึงได้กราบขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ เพื่อออกธุดงค์ไปยังป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาวิเวก และปฏิบัติกรรมฐานต่อไป

    ท่านออกธุดงค์ไปกราบพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก และย้อนกลับมากราบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี อีกทั้งธุดงค์เข้าไปยัง นครวัด นครธม ย้อนกลับมาเข้าประเทศพม่าถึงชเวดากอง ท่านธุดงค์ตามป่าเขาดงดิบอยู่หลายปี พบพระเกจิอาจารย์ในป่าที่มีจิตกล้าแข็งท่านก็ได้ศึกษาพุทธาคมด้วย

    จนถึงประมาณปีพ.ศ.2417 ท่านได้ธุดงค์มาถึงตำบลพะเนียงแตก (ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นตำบลมาบแค) ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 51 ปี ท่านได้พบสถานที่เป็นป่ารกชัฏนอกเมือง ท่านเห็นว่าเป็นที่วิเวก เหมาะแก่การเจริญภาวนาธรรม

    ท่านจึงได้ปักกลดพักแรม และได้ทราบต่อมาว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่กลับมาเป็นวัดร้างรกเรื้อ ชาวบ้านได้มาพบท่านปักกลดพักจำวัดอยู่ที่นี่ จึงพากันขอนิมนต์หลวงพ่อทาจำพรรษาอยู่ที่วัดร้างแห่งนี้

    ท่านก็อยู่จำพรรษาและได้พัฒนาวัดขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2430 พร้อมทั้งเสนาสนะต่างๆ และพระอุโบสถ นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างวัดอื่นๆ ในแถบนั้นอีกพร้อมๆ กัน คือ วัดบางหลวง วัดดอนเตาอิฐ และ วัดสองห้อง เป็นต้น หลวงพ่อทาท่านเป็นพระสงฆ์ที่ชาวบ้านรักและเคารพนับถือมาก

    -3.jpg
    ท่านอบรมสั่งสอนชาวบ้านจนมีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีพระ เณร มาบวชอยู่ที่วัดพะเนียงแตกมากมาย ท่านดำริจะสร้างอะไรก็มีชาวบ้านและศิษยานุศิษย์พร้อมใจกันร่วมสร้างให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หลวงพ่อทามีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีลูกศิษย์ไปทั่วทั้งใน จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี ชัยนาท เพชรบุรี ราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียงอีกมาก


    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงทราบถึงเกียรติคุณดังกล่าว จึงมีรับสั่งโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ อยู่เสมอๆ ดังจะเห็นได้ว่าพระราชพิธีหลวงต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้นิมนต์หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตกเสมอ

    เช่นพิธีหลวงการพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านก็ได้รับนิมนต์ด้วย และรับถวายพัด เนื่องในพิธีหลวงการพระศพดังกล่าว ซึ่งปรากฏรูปถ่ายของหลวงพ่อทาในปีพ.ศ.2452 พัดที่อยู่ทางด้านขวาของท่านเป็นพัดยศพุดตานปักลายใบเทศรักร้อย และทางด้านซ้ายของท่านเป็นพัดรองการพระศพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

    ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเถระ 4 รูป เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์และเฉลิมพระเกียรติองค์พระปฐมเจดีย์ ประจําทิศทั้ง 4 คือ

    พระครูอุตรการบดี ประจำทิศเหนือ พระเถระคือ หลวงพ่อทา ได้รับการแต่งตั้งเป็นรูปแรกตำแหน่งนี้
    พระครูทักษิณานุกิจ ประจำทิศใต้ พระเถระคือ หลวงพ่อเงิน วัดสรรเพชร
    พระครูปริมานุรักษ์ ประจำทิศตะวันออก พระเถระคือ หลวงพ่อคต วัดใหม่
    พระครูปัจฉิมทิศบริหาร ประจำทิศตะวันตก พระเถระคือ หลวงพ่อนาค วัดห้วยจระเข้

    หลวงพ่อทาเป็นที่รักเคารพของประชาชนมาก และเป็นที่เกรงขามของบรรดานักเลงหัวไม้ทั้งหลาย ดังจะเห็นได้ว่า งานวัดพะเนียงแตกในสมัยหลวงพ่อทานั้น ท่านไม่เคยขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ ทางตำรวจมารักษาความสงบเลย

    และในสมัยนั้นในงานวัดทุกวัดก็จะเป็นการรวมพวกนักเลงหัวไม้ต่างถิ่นที่เข้ามาเที่ยวในงานวัดทุกวัด และมักจะมีเรื่องตีรันฟันแทงกันอยู่เนืองนิจ แต่ที่วัดพะเนียงแตกกลับไม่มีใครกล้าจะมีเรื่องในเขตวัดเลย

    หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง เล่าให้ฟังว่า พวกนักเลงตำบลตาก้อง กับ ตำบลพะเนียงแตก ต่างก็ไม่ถูกกันเจอกันที่ไหนก็มักจะต้องมีเรื่องกันทุกที แต่ที่ในงานวัดพะเนียงแตกกลับไม่กล้าตีกัน เนื่องจากหลวงพ่อทาจะถือไม้พลองตรวจตราทั่วงาน เป็นที่ยำเกรงแก่พวกหัวไม้ทั้งหลาย

    ขนาดคนเมาเอะอะพอเห็นหลวงพ่อเดินมาก็แทบจะหายเมาเลยทีเดียว ทุกคนต่างเคารพยำเกรงหลวงพ่อทามาก จนมักเรียกท่านว่า “หลวงพ่อเสือ” หลวงพ่อทาท่านมรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อปีพ.ศ.2462 สิริอายุได้ 96 ปี พรรษาที่ 76

    วัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น ตะกรุด พระปิดตา ทั้งเนื้อสัมฤทธิ์และเนื้อเมฆพัด มีหลายแบบ ทั้งเกลอเดี่ยวและสามเกลอ เป็นต้น อีกทั้งเหรียญหล่อรุ่นแรกและรุ่นสอง ทุกอย่างล้วนเป็นที่นิยมทั้งสิ้นครับ

    ในวันนี้ผมได้นำเหรียญหล่อรุ่นแรก ของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก มาให้ชมครับ

    ด้วยความจริงใจ
    แทน ท่าพระจันทร์

    :- https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_3465604
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เณรน้อยปราบพญานาค

    thamnu onprasert
    131,359 views Dec 26, 2021
    สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ ลูกศิษย์ของพระอนุรุทธะเถระเจ้า ปราบพญานาคพาลตนหนึ่งที่สระอโนดาต กลางป่าหิมพานต์.
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล (ตอนที่ ๑ )

    หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล (ตอนที่ ๒ )

    หลวงตา
    17,687 views Dec 2, 2021
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    36341622099280__1_Copy_.jpg
    หลวงพ่อถม ธัมมทีโป
    วัดเชิงท่า ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี

    พระครูโสภณธรรมรัต หรือ หลวงพ่อถม ธัมมทีโป อดีตเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองลพบุรี พระเถระนักพัฒนาชื่อดังในอดีต ที่ชาวลพบุรีต่างให้ความเลื่อมใสศรัทธา

    มีนามเดิมว่า ถม สงวนวงษ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันแรม 13 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด เวลาประมาณ 04.00 น. ที่บ้านโพธิ์ผีไห้ ต.โพธิ์เก้าต้น อ.เมือง จ.ลพบุรี บิดาเป็นกำนัน ชื่อ นายลอย สงวนวงษ์ และมารดาชื่อ เนย ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา

    เริ่มการศึกษาครั้งแรกกับโยมบิดาตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ ต่อมาใน พ.ศ.2462 บิดาได้นำตัวมาฝากไว้กับอา ชื่อ สามเณรแถม ที่วัดเชิงท่า

    เรียนหนังสือแบบเรียนเร็ว หนังสือมูลบทบรรพกิจ รวมทั้งหัดอ่านตัวขอมจากหนังสือพระมาลัย

    จนถึง พ.ศ.2464 บิดานำตัวไปฝากเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี ในครั้งนั้นอยู่ที่บ้านวิชาเยนทร์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

    พ.ศ.2465 ย้ายไปอยู่กับพระครูธรรมรักขิต ผู้เป็นอาที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ได้ศึกษาที่โรงเรียนของวัดสุทัศน์ จนจบชั้นประถมศึกษา และจบประถมช่างไม้ จากนั้นเรียนภาษาบาลีเพิ่มเติม พออายุ 15 ปี ตรงกับ พ.ศ.2470 กลับบ้านมาช่วยครอบครัวทำนา

    จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบทตามประเพณีไทย ที่พัทธสีมาวัดโคกหม้อ ต.โพธิ์เก้าต้น อ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2475 โดยมีพระครูโวทานสมณคุต ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดกวิศรารามฯ เจ้าอาวาสวัดเชิงท่า และเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการบุญ เจ้าอาวาสโคกหม้อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ฉาย วัดเชิงท่า เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    พ.ศ.2479 ย้ายมาอยู่วัดเชิงท่า เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ด้วยความมุ่งมั่น พ.ศ.2481 สอบได้นักธรรม

    ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2482 เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า พ.ศ.2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า

    พ.ศ.2505 เป็นเจ้าคณะตำบลพรหมาสตร์และตำบลบางขันหมาก จ.ลพบุรี พ.ศ.2508 เป็นพระธรรมทูตของกองอำนวยการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลลพบุรี

    พ.ศ.2516 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2519 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองลพบุรี

    พ.ศ.2543 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองลพบุรี

    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2493 เป็นพระครูใบฎีกา ตำแหน่งฐานานุกรมของพระกิตติญาณมุนี (พระพุทธวรญาณ)

    พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูโสภณธรรมรัต พ.ศ.2525 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    มีบทบาทในการทำนุส่งเสริมพระพุทธศาสนา เป็นครูสอน พระปริยัติธรรม ณ สำนักวัดเชิงท่า ตั้งแต่ พ.ศ.2482 จนถึง พ.ศ.2535 ได้นิพนธ์งานส่งเสริมศีลธรรมอันดีตามหลักพระพุทธศาสนาให้กับปวงชน และพิมพ์เผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ

    ยังมีหน้าที่บริหารคณะสงฆ์อำเภอเมืองลพบุรี รวมทั้งได้อบรม พระภิกษุสามเณรร่วมกับเจ้าคณะอำเภอเมืองลพบุรีเป็นประจำ

    จัดสร้างพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ เพื่อรวบรวมและจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุอันมีค่า ในการศึกษามรดกวัฒนธรรมไทยให้ได้เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ

    เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2545 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์ วัดเชิงท่า ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรวบรวมสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อย่างยิ่งในศิลปวัฒนธรรม

    ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็น "ปูชนียบุคคล" ของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพราะท่านมีความเป็นอยู่ด้วยความสงบ ตามสมณวิสัย ซึ่งหาได้อย่างยากยิ่งในปัจจุบัน

    ต่อมาย้ายมาอยู่วัดเชิงท่าตั้งแต่ พ.ศ.2479 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2504

    วันที่ 14 ก.พ.2552 หลวงพ่อถม ล้มป่วยอาพาธด้วยโรคชรา และโรคไต คณะศิษยานุศิษย์นำตัวหลวงพ่อถม ส่งโรงพยาบาลเมืองนารายณ์ ให้แพทย์วินิจฉัยทำการรักษา จนถึงวันที่ 9 มี.ค.2552 ได้ย้ายมารักษาต่อที่โรงพยาบาลลพบุรี

    กระทั่งเมื่อเวลา 15.07 น. วันที่ 15 มี.ค.2552 มรณภาพด้วยอาการสงบ สิริอายุ 96 ปี พรรษา 77
    :- http://www.sookjai.com/index.php?topic=216770.0
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อาจารย์ยอด : ครูบาวัดไม้ฮุง เทพเจ้าเมืองสามหมอก [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    1,682 views Dec 31, 2021

     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    krubawatmiihung.jpg
    ประวัติพระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (วิชัยยะ สิริวฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง

    พระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (ครูบาวิชัยยะ สิริวฺชโย) หรือที่เรามักจะได้ยินจนติดหูในนามมี่เรียกว่า ครูบาวัดไม้ฮุง ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันเสาร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๒ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ โยมบิดาชื่อ พ่อจางข่าง โยมมารดาชื่อ แม่จางมุ้ง ณ หมู่บ้านปางหมู ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน จากการสืบค้นเท่าที่พบหลักฐาน ไม่ปรากฏปี พ.ศ. ที่ท่านบรรพชา – อุปสมบท สืบค้นได้แต่เพียง ว่าเมื่อท่านได้บรรพชาแล้วได้เดินทางไปศึกษาศิลปะวิทยาหาความรู้ในรัฐฉาน ประเทศพม่า และได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ประเทศพม่านั่นเอง และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ประเทศพม่านั่นเอง ภายหลังท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุได้พรรษาแล้วจึงได้เดินทางกลับเข้ามาจำพรรษาที่ วัดม่วยต่อ ต.จองคำ อ.เมือง จ. แม่ฮ่องสอน และได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างจริงจังจากครูบาคำ สุวณฺโณ วัดม่วยต่อ อ. แม่ฮ่องสอน จนท่านครูบาได้ร่ำเรียนสำเร็จแตกฉานในวิชาการสร้างสีผึ้ง “พะยองคำ” และวิชาการสร้างยาสักเศรษฐี และวิชาอีกหลายอย่างหลายแขนงจากท่านพระครูบาคำ สุวณฺโณ ผู้เป็นอาจารย์ เมื่อท่านจำพรรษาที่วัดม่วยต่อได้ระยะหนึ่ง ทางวัดไม้ฮุง ซึ่งมีบริเวณติดกับกับวัดม่วยต่อ (ภายหลังได้ยุบรวมกันกับวัดม่วยต่อ) ได้ขาดเจ้าอาวาสลง ทางคณะศรัทธาวัดไม้ฮุงจึงได้มาขอนิมนต์ตัวท่านจากครูคำผู้เป็นอาจารย์เพื่อไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นอาจารย์ได้ส่งท่านไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุงใน พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อท่านได้รับภาระให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ท่านก็ได้พยายามบูรณะปฏิสังขรณ์พัฒนาวัดไม้ฮุงจนเจริญรุ่งเรือง ต่อมาไม่นานท่านก็ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูอนุสนธ์ศาสนกิจ” และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจองคำ
    ในเวลาต่อมา ท่านครูบาได้สร้างคุณูปการต่อพระศาสนาและได้ใส่ใจขนขวายรับภาระธุระในการพระศาสนามาโดยตลอด ตัวอย่างในเจตนาอันแรงกล้าในการรับภาระธุระพระศาสนาที่เห็นชัดคือองค์ท่านได้ทำการบรูณะปฏิสังขรณ์พระธาตุดอยกองมู พระเจดีย์ศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน องค์ใหญ่ที่สะเทจองต่องสู่พร้อมภรรยาได้สร้างไว้ไม่สำเร็จ ให้เสร็จสมบรูณ์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้วยบารมีและอิทธิคุณวิทยาคมขององค์ท่านให้เป็นที่สักการะกราบไหว้มาตราบทุกวันนี้ ในสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านเป็นที่กล่าวขานร่ำลือขจรขจายไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการทำเทียน “เต๋งสบเต๋งกวาม” ที่มีคนมาขอพึ่งใบบุญบารมีท่าน ขอความเมตตาให้ท่านช่วยให้หลุดรอดจากคดีต่างๆจนข้าหลวงประจำจังหวัดได้ขอร้องให้หยุดทำเทียนช่วยเหลือคนเหล่านั้น เพราะแต่ละคนที่ท่านช่วยล้วนแล้วแต่หลุดรอดจากคดี หลุดจากคุกจากตารางทุกรายไป และอีกหนึ่งในวิทยาคุณที่สร้างชื่อเสียงของท่านให้คนหมู่มากได้รู้จักนั่นคือการสร้างและสัก “ยามหาเศรษฐี” ดังมีเรื่องเล่ายืนยันถึงอานุภาพของยาสักท่านว่า มีชายนักแสวงโชคชาวไทยคนหนึ่ง ชื่อ “ตะก่าจองปุ่งยะ” เดิมเป็นพระอยู่ในรัฐฉาน เมื่อสึกแล้วก็ได้เดินทางเข้ามาในอาศัยอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน โดยอาศัยความรู้ที่เคยเป็นพระมาก่อนได้ตั้งตัวเป็นพ่อค้าขายของโดยเปิดร้านเล็กๆอยู่ในย่านใกล้ๆวัดหัวเวียง ชายคนนี้ด้วยความที่เคยเป็นพระมีอุปนิสัยอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิสัยใฝ่ทางการกุศล ก็มักจะไปทำบุญกับท่านครูบาเป็นประจำจนสนิทสนมกับท่านพอสมควร จะด้วยวาสนาต้องกันหรือเป็นโชคของชายคนนี้ก็ไม่ทราบได้ วันหนึ่งในการสนทนาพูดคุยสารทุกข์ดิบ ครั้งนั้นท่านครูบาได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า เธออยากเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างมั้ย ชายคนนั้นก็ตอบว่า ...อยากเป็นเศรษฐีมีเงินอย่างคนอื่นๆเขามากๆ อาชีพค้าขายที่ทำอยู่ก็พอได้กินไปวันๆเท่านั้น หากได้เป็นเศรษฐีกับเขาบ้างอยากจะมาสร้างวิหารถวายครูบาดังความตั้งใจเดิมที่เคยคิดไว้ ท่านครูบาก็บอกว่า งั้นให้มาหาข้า ข้าจะสักยาให้และให้เตรียมปี๊บมาด้วย1ใบนะ พร้อมนัดวันเวลาที่เป็นฤกษ์งามยามดีให้ พอถึงวันนัดชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านพร้อมกับเตรียมปี๊บไปด้วยอย่างงงๆ
    พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้ท่านก็สักยามหาเศรษฐีให้และบอกว่า ให้เธอนำปี๊บนี้คลุมหัวกลับไปบ้านนะเจอผู้หญิงหรือใครก็ตามรายทางอย่าพูดคุย หรือยิ้มให้โดยเด็ดขาดกลับไปถึงบ้านให้เปิดดูหีบเก็บเงินเก็บทองแล้วจะมีเงินมีทองเป็นมหาเศรษฐีสมใจ ชายผู้นั้นก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ภายหลังกิจการค้าขายก็เจริญรุ่งเรืองจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีของเมืองแม่ฮ่องสอนและได้มาสร้างวิหารไม้สักหลังใหญ่ถวายท่านครูบาดังที่เคยให้สัจจะไว้จริงๆ นอกจากยาสักมหาเศรษฐีแล้วสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านจนโด่งดังประดุจเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ก็คือการทำสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ที่เรียกกันว่า “พะยองคำ” ด้วนกรรมวิธีการสร้างที่ลึกล้ำพิสดารและวิชาอาคมบวกกับพลังจิตที่แกร่างกล้าของท่าน จึงทำให้สีผึ้งนี้มีอิทธิคุณวิเศษมากมายเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้นำไปใช้จนกลายเป็นยอดปรารถนาของทุกคนที่ดั้นด้นขึ้นไปกราบแม้ว่าหนทางจะยากลำบากเพียงใด ก็หาใช่อุปสรรคในการเดินทางสู่เมืองในหมอกนี้เลย คหบดีเศรษฐี พ่อค้าชาวจีนชาวไทยที่ได้ยินกิตติศัพท์ความแกร่งกล้าในวิทยาคมของท่าน ลงทุนเช่า ฮ. จากเชียงใหม่ลัดฟ้าสู่เมืองสามหมอก เพื่อมาบูชาสีผึ้งของท่านกันเลยทีเดียว
    เล่ากันว่าสีผึ้งพะยองคำที่ท่านได้สร้างขึ้นนั้นมีกรรมวิธีในการทำลึกลับพิสดารมาก ดังได้รับฟังเรื่องเล่ามุขปาฐะจากเฒ่าผู้แก่ที่เคยได้ทันเห็นและเป็นลูกศิษย์ในองค์ท่าน ได้เล่าไว้ว่าสีผึ้งท่านนั้นหุงขึ้นด้วยขี้ผึ้งอาถรรพ์และยาสำคัญ๖ชนิดที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงมากจนคิดว่าในสมัยปัจจุบันคงไม่มีใครมีความอดทนสูงเพียงนั้นเลยเชียว และว่านสำคัญชนิดต่างๆที่ท่านได้ปลูกไว้เป็นสวนว่านยา สำคัญชนิดที่ต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไปกันเลยทีเดียว สีผึ้งพะยองคำพะยองคำท่านนั้นมีกรรมวิธีการสร้างกว่าจะสำเร็จต้องอาศัยสถานที่ถึงสามที่ หุงกันถึงสามครั้งเลย เมื่อแรกเริ่มท่านทำพิธีหุงต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถนัยว่าเป็นสถานที่ทำสังฆกรรมและเป็นสถานที่เกิดใหม่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จหนึ่งครั้งจากนั้นนำไปหุงตรงสามแพร่ง นัยว่าเป็นสถานที่คนมารวมกันพูดคุยหัวเราะกัน เป็นสถานที่นัดพบกัน หุงจนกว่าจะมีคนมาถามว่า “ครูบาทำอะไร” ท่านก็จะตอบว่า “ทำยาวิเศษโอสถทิพย์” ที่บันดาลให้คนที่พกพามีความร่ำรวย เป็นมหาเสน่ห์อย่างยิ่ง ถึงจะสำเร็จอีกหนึ่งครั้ง พิธีสุดท้ายที่ท่านทำพิธีก็คือท่านให้ลูกศิษย์ท่านสืบเสาะฟังข่าวว่ามีผู้หญิงตายท้องกลม ที่เป็นลูกหัวสาวผู้ชาย(ลูกคนแรกผู้ชาย)ฝังไว้ในปาช้าไหนบ้าง เมื่อทราบแล้วท่านก็จะไปทำพิธีเซ่นสรวงบัดพลีแล้วให้ลูกศิษย์ท่านขุดนำศพผีตายท้องกลมนั้นลุกขึ้นนั่งแล้วเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ให้พร้อมทั้งผัดหน้าทาแป้งให้ศพนั้น แล้วให้ลูกศิษย์ท่านผู้เป็นชายพรหมจรรย์ มีหน้าตาหล่อเหลาดูดี มีอายุไม่เกิน 20 ปี เข้าไปโอบกอดศพนั้นจากข้างหลัง แล้วนำขันสำริดที่บรรจุสีผึ้งนั้นวางบนมือผีโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่ อีกข้างก็ให้ถือไม้คนสีผึ้งโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่เช่นกัน
    เมื่อเริ่มพิธีก็ให้ชายนั้นประคองมือศพนั้นคนสีผึ้ง โดยมีท่านครูบายืนบริกรรมคาถาอยู่ข้างๆ สักพักก็ให้ชายคนนั้นปล่อยมือจากศพผีตายท้องกลมนั้น ปล่อยให้ผีนั้นคนสีผึ้งเองอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อผีนั้นคนสีผึ้งไปพลางก็จะยกขึ้นพลาง นัยว่าจะซดสีผึ้งนั้นซึ่งเชื่อว่าเป็นยาโอสถทิพย์สุดวิเศษ ซึ่งถ้าผีนั้นซดสีผึ้งนั้นได้ก็จะกลายเป็นผีดิบอมตะยากแก่การปราบปราม เมื่อผีนั้นยกขึ้นจนใกล้ปากที่สุด ก็จะแย่งเอาขันสีผึ้งจากมือผีนั้น แล้วก็สะกดให้กลับลงไปนอนในโลงอย่างเดิม เป็นอันเสร็จพิธีการสร้างสีผึ้งพะยองคำอันวิเศษสุดตามกรรมวิธีของท่าน เมื่อมีคนทราบว่าท่านทำ พะยองคำ ก็จะมีคนมาขอบูชาจากท่านกันเยอะแยะมากมาย แต่การจะได้บูชาพยองคำของท่านนั้น หาใช่ใครมีเงินก็จะบูชาเอาทีละเยอะๆได้ เพราะท่านให้บูชาแค่คนละ 1 ตลับ (ตลับเงินเล็กๆ) และให้บูชาแพงมาก โดยให้บูชาตลับละ 100 บาท ในสมัยที่ทองคำบาทละไม่ถึงร้อน ใครมีเงินไม่ถึง 100 บาท ก็จะขอแบ่งทีละ 5 แถบ (5 รูปี) บ้าง 10 บาทบ้าง โดยท่านจะนำหูเข็มเย็บผ้าปักลงไปแล้วงัดขึ้น ติดขึ้นมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น เป็นราคา 10 บาท หรือ 5 รูปี และต้องนำตลับเงินหรือตลับทองคำมารับในกรณีที่มารับกับครูบาท่านโดยตรง แต่ส่วนมากมักจะร่วมเงินกันบูชา 10 คน คนละ 10 บาท ก็จะได้ 1 ตลับแล้วมาแบ่งกัน ดังนั้นจึงพบเห็นว่าสีผึ้งพะยองคำนี้มักจะบรรจุอยู่ในตลับยาหม่องเก่าๆ อยู่เสมอ สีผึ้งพะยองคำท่านครูบานั้นเท่าทีได้ค้นประวัติในช่วงชีวิตของท่าน ได้สร้างอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกมีวรรณะสีดำ มีทองคำระยิบระยับ เป็นทองคำชนิด นำทองแท่งมาฝนเป็นผงละเอียดใส่ลงไป บางที่ปรากฏเม็ดพลอยเล็กๆ หรือก้อนเงินแท้อยู่ในตลับ ครั้งที่สอง มีวรรณะออกสีแดงๆ จากผงชาด(หาง) มีทองคำอยู่ประปรายพอให้สังเกตเห็นไม่มาก ครั้งที่สาม สันนิษฐานว่าท่านทำพิธีหุงครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2494 มีวรรณะ ออกสีดำใสๆ มีกากยาหยาบๆ มีทองคำเปลวโบราณชิ้นใหญ่อยู่มาก นับเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท่านได้ทำพิธีหุงสีผึ้งวิเศษนี้ กลางปี พ.ศ. 2495 ท่านได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงและลำคอ แพทย์ได้เจาะคอท่าน โดยให้อาหารผ่านสายยาง ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็งแต่ทรงกับทรุดมาเรื่อยๆ จนท่านได้ถึงแก่มรณภาพ วันพฤหัสบดี ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2496 สิริอายุ 67 ปี 46 พรรษา ยังความโศกเศร้าเสียใจแก่ศรัทธา ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์ท่าน และ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก
    วัตถุมงคลที่ท่านสร้าง วัตถุมงคลในองค์ท่านที่เคยสร้างไว้ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบและเคยเห็นมีอยู่ไม่กี่ชนิด
    1. สีผึ้งพะยองคำ
    2. ยามหาเศรษฐีต่างๆ เช่น ยาสะเทงาปา ยาขุนเดือนขุนวัน ยาเมตตา528 ยาอณะติตีน ยาสุระสะตี่เป็นต้น ที่ใช้พกพา และสักลงบนร่างกาย ซึ่งล้วนแต่เป็นยาด้านเมตตามหานิยม เรียกทรัพย์เรียกลาภ บัลดาลให้ผู้พกพาเจริญด้วยโภคทรัพย์ ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
    3. ผ้ายันต์ ท่านมักจะเขียนมอบให้แก่ศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งมีไม่กี่ผืน(ยังไม่พบผืนที่สมบูรณ์)
    4. พระพุทธนิรันตราย (พระบังหน้า-บังหลัง) ท่านรวบรวมว่านยาที่มีคุณวิเศษด้านป้องกันภัย ป้องกันอันตราย มากมายหลายชนิด พร้อมด้วยผงอาถรรพ์ที่องค์ท่านรวบรวมไว้ มากดด้วยพิมพ์แบบง่ายๆ ไม่ปรากฏจำนวนที่สร้าง แต่ก็คงไม่มากนัก ในสายอำเภอปาย ส่วนมากได้รับจากหลวงปู่พระครูโสภณสวัสดิการ (สวัสดิ์ สุริโย) อดีตเจ้าคณะอำเภอปาย ศิษย์ใกล้ชิดในองค์ท่าน ครูบาได้นำมาแจกจ่ายในจำนวนไม่กี่สิบองค์
    5. อิ่นเนื้อผงยา ลงรักปิดทอง/อิ่นไม้แกะ /อิ่นงาจำกัด-กำจาย ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    *คุณวิเศษของสีผึ้ง “พะยองคำ” สีผึ้งพะยองคำของท่านครูบานั้น มีอิทธิคุณอันวิเศษที่เล่าขานกันมานาน แม้องค์ท่านจะมรณภาพไปนานร่วม 60 ปีแล้วก็ตาม ก็หาได้ทำให้อิทธิคุณสีผึ้งพะยองคำนั้นเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาก็หาไม่ แต่กลับทรงอิทธิคุณมีอานุภาพคงเดิม อำนวยโสตถิผลแก่ผู้บูชา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสอย่างน่าอัศจรรย์ สีผึ้งพะยองคำของครูบาท่านนั้น ส่วนมาก เท่าที่เคยได้ยินมา มักจะโดเด่นอยู่ 2 ประเภท
    1. อำนวยผลด้านโชคลาภ วาสนา บารมี แก่ผู้บูชา ร่ำรวยเงินทอง ค้าขายดี
    2. ด้านมหาเสน่ห์อย่างสุดยอด เป็นที่ต้องการแก่ผู้ชายนิสัยเจ้าชู้ ชนิดขายที่นาไปบูชากันเลย สมัยเมื่อ 70 ปีก่อนสีผึ้งท่านดังมาก ผู้หญิงสวยคนไหนหนีตามผู้ชายไป หรือ ผู้ชายหลงผู้หญิงอย่างหัวปักหัวปำ เป็นต้องกล่าวโทษโจษจันทร์กันว่า โดนฤทธิ์สีผึ้งครูบาวัดไม้ฮุงเป็นแน่แท้ ปัจจุบันสีผึ้งพะยองคำนี้หายากเป็นอย่างมาก เพราะเหตุผลหลายประการคือ
    2.1. ครูบาท่านผู้สร้างได้มีณภาพไปร่วม 60 ปีกว่าแล้ว
    2.2. สีผึ้งนี้ โดยส่วนมากมักตกอยู่กับเศรษฐีคหบดีผู้มีอันจะกินเสีโดยส่วนมาก
    2.3. สีผึ้งพะยองคำมีส่วนคล้ายคลึงกับสีผึ้งครูบาอาจาร์ยรุ่นเก่าๆ ซึ่งยากที่จะชี้ชัดลงไปว่านี่ คือสีผึ้งพะยองคำของท่านครูบา ซึ่งข้าพเจ้าไม่แนะนำ หากท่านดูไม่เป็น ที่ไปที่มาเลือนลาง ขาดข้อมูลที่แน่ชัด หากท่านอยากได้ไว้ครอบครอง ควรไตร่ตรองให้ดี และสอบถามที่มาที่ไปที่เชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้น ท่านอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้ครอบครองสีผึ้งพะยองคำของแท้ และเสียเงินจำนวนไม่ใช่น้อย โดยใช่เหตุ

    ... ล็อคเก็ตครูบา (แบบไม่จารึกนามท่าน) *
    แรงบรรดาลใจแห่งการสร้างล็อคเก็ตพระครูบาวิชัยยะ รุ่นบูชาพระคุณ ล็อคเก็ตพระครูบาวิชัยยะ (ครูบาวัดไม้ฮุง) ที่จัดสร้างโดย พระปลัดอภิวัฒน์ อินฺทวณฺโณ วัดทุ่งโป่ง อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน นั้น มีมูลเหตุมาจาก ความเคารพนับถือในองค์พระครูบา บวกกับ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ในอธิจิตอันเป็นอัศจรรย์ ในกฤษดาภินิหาริย์ของ "พะยองคำ" หนึ่งในสิ่งมงคลที่สร้างชื่อเสียงแก่ครูบา ซึ่งได้ยินบ่อยมากในวงสนทนาของผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นปู่รุ่นตา ที่มาอายุร่วม 80 ปี ต่างพูดด้วยความภาคภูมิใจและมีแววดาที่เต็มไปด้วยความสุขที่เคยได้อาศัยร่มบารมีอิทธิคุณวิเศษของสีผึ้งพะยองคำ ในองค์ท่านครูบาวัดไม้ฮุง ทั้งข้าพเจ้าได้เคยศึกษาตำหรับตำราคาถาอาคมและวิชาอีกหลายอย่าง จากสมุดข่อยที่ท่านได้เขียนไว้ ผ่านทางอาจารย์ของข้าพเจ้าผู้เก็บรักษาตำราของท่านไว้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้พยายามรวบรวมสีผึ้งพะยองคำไว้ส่วนหนึ่ง และได้ตั้งจิตอธิษฐานมาเสมอๆ ว่าอยากเห็นรูปถ่ายของครูบาท่าน จนกลางปี 2557 ได้มีคุณตาท่านหนึ่ง อายุ 93 ปี (รตต. สุรินทร์ หิมะนันท์) ได้มากราบนมัสการขอพรพระประธานที่วัด
    ข้าพเจ้าได้เข้าไปถามสารทุกข์สุขดิบ ก็ได้ทราบว่า ท่านเป็นมาจากแม่ฮ่องสอน และเป็นลูกหานครูบาวัดไม้ฮุง เมื่อทราบเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงได้ถามไปว่า คุณตาพอจะมีรูปครูบาวัดไม้ฮุงมั๊ย ท่านก็ตอบว่ามี พร้อมกับควักออกจากกระเป๋าสตางค์ของท่านมาให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้าจึงได้ขอถ่ายรูปไว้ ซึ่งปรากฏว่าตรงกับรูปพระภิกษุ ของเก่าที่จ้าพเจ้าได้รับจากบ้านคหบดี ของเมืองปายท่านหนึ่ง และนั่นคือ แรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าจัดสร้างล็อคเก็ตของท่านเป็นอาจาริยนุสรณ์สืบไป

    ...ตอนเริ่มสร้างล็อคเก็ต ได้ติดต่อทางบริษัทหนึ่ง ให้ทำล็อคเก็ตเป็นรูปพระครูบา (จารึกนามท่าน พระครูวิชัยยะ สิริวิชฺชโย) จำนวน 108 องค์ พอทำเสร็จแล้ว ปรากฏว่าล็อคเก็ตออกมายังไม่ได้ดั่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ ประกอบกับใกล้ถึงวันงานพุทธภิเษกที่วัดศรีดอนชัย (4 เมษายน 58) เหลือเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 20 วัน จึงได้ติดต่อไปอีกโรงงานหนึ่ง โดยตั้งจิตอธิษฐานต่ิดวงวิญญาณของท่านคนูบาว่า ขอให้ทางโรงงานรับทำ และสวยดั่งตั้งใจไว้ ผลปรากฏว่า ทางโรงงานรับทำได้ครบจำนวน 108 องค์ (ไม่จารึกนามท่าน) และทันเวลาเข้าร่วมงานพุทธาภิเษกเหรียญพระสิงห์ปาย ในวันเสาร์ที่ 4 เม.ย. 58 (ตรงกับวันจันทรุปราคา) พอดิบพอดี ทั้งนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปอธิษฐานขอบารมีท่าน ณ กู่บรรจุอัฐิท่าน ในวันที่ 10 เมษายน 58 ซึ่งก็มีเหตุอัศจรรย์ที่ได้รู้ว่า ดวงวิญญาณทิพย์ของท่านรับรู้และอนุโมทนาถึงเจตนาอันบริสุทธิ์นี้เช่นกัน
    *รายละเอียดของล็อคเก็ต ด้านหน้าเป็นรูปพระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (พระครูบาวิชัยยะ สิริวิชฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง ด้านหลัง อุดด้วยยามหาเศรษฐีทั้ง 6 ขนิด ซึ่งเป็นของเก่าที่ท่านสร้างไว้ อาทิเช่น ยาสะเทงาปา ยาสุระสะตี่ ยาขุนเดือนขุนวัน ยาเมตตา528 เป็นต้น ในตระกรุดเงิน+ทองคำ บรรจุไว้ด้วย " สีผึ้งพะยองคำ " ทั้ง 3 ชนิดของท่าน ซึ่งมีจำนวนการสร้างดังนี้
    1. ล็อคเก็ตแบบที่ 1 จารึกนามท่าน พระครูบาวิชัยยะ สิริวิชฺชโย จำนวน 108 องค์ บรรจุตระกรุดเงิน ด้านหลัง 1 ดอก พลอยทับทิมดิบ กินบ่อเสี้ยง 1 เม็ด (ละลายสีผึ้งผสมในเนื้อยา)
    2. ล็อคเก็ตแบบที่ 2 ไม่จารึกนามท่าน ตำนวน 108 องค์ แยกเป็น บรรจุตระกรุดทองคำ+เงิน อย่างละ 1 ดอก พลอยทับทิม กินบ่เสี้ยง 1 เม็ด มีหมายเลข 1-29 จำนวน 29 องค์ บรรจุตระกรุดเงิน 1 ดอก พลอยทับทิม กินบ่เสี้ยง 1 เม็ด มีหมายเลข 1-79 จำนวน 79 องค์ ได้นำออกให้ทำบุญบูชา เพื่อนำปัจจัยทั้งหมดร่วมสมทบทุนสร้างกุฏิที่พักรับรองพระสงฆ์อาคันตุกะ และ สร้างห้องน้ำสุขา (เวจจกุฏี) ณ วัดทุ่งโป่ง ต. ทุ่งยาว อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน
    สัมภาษณ์ :
    1. พ่อเฒ่ากู่ แสนปอย บ้านทุ่งโป่ง อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 91 ปี 2551
    2. พ่อครูแสน ใจแปง บ้านเวียงใต้ อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 94 ปี 2555
    3. รตต. สุรินทร์ หิมะนันท์ อ. เมือง จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 94 ปี 2557
    4. คุณแม่นวล รังสิตานนท์ บ้านปางหมู อ. เมือง จ. แม่ฮ่องสอน 2557
    5. พระครูอนุรักษ์ธรรมคุณ วัดหลวง อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 77 ปี 2558
    6. อ. จันทร์ อินทสาร (อดีต พระมหาจันทร์ อินฺทสาโร ปธ. 5 วัดม่วยต่อ) บ้านเวียงเหนือ อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน 2558
    7. พ่อหนานพงษ์ จั้งหนุ่ม บ้านนาจลอง อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 82 ปี 2558
    8. พ่อดวงดี นาจันทร์ บ้านศรีดอนชัย อ. ปาย จ. แม่ฮ่องสอน อายุ 80 ปี 2558
    9. อ. ธรรศ ศรีรัตนบัลล์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ 2559
    10. หนังสือแม่ฮ่องสอนและวัดพระธาตุดอยกองมู : พระครูอนุสารสาสนกรณ์ 2536
    หนังสือประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2บาท

    #รวบรวมข้อมูลทั้งหมดโดยพระปลัดอภิวัฒน์ อินฺทวณฺโณ วัดทุ่งโป่ง ผู้รวบรวมประวัติ ขอขอบพระคุณผุ้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลทุกท่าน
    #ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ข้อมูลประวัติท่านครูบาวัดไม้ฮุงนี้ ในเชิงธุรกิจการค้าการพานิชย์ทั้งปวง
    :-
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๑๑๒. แสวงบุญดอยเกิ้ง ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    48,919 views Dec 31, 2021
    ส่างอุ่นเปิงและท่านครูบาสวนเดินทางไปแสวงบุญที่พระธาตุดอยเกิ้ง เมืองฮอด เชียงใหม่.
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงพ่อรมย์ วัดเทพนรสิงห์ ถอนคุณไสย [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    Jan 1, 2022
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpromwatthepnorasingh.jpg
    “หลวงพ่อรมย์
    ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา” จัดได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม แก่กล้า หลายด้านทั้งทางด้านเมตตา มหานิยม ในเขต จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ หลวงพ่อรมย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ของลูกศิษย์ เพราะคนที่ได้มากราบนมัสการท่านแล้ว ก็จะได้รับความเมตตา ลงนะหน้าทอง ลงสาลิกา ซึ่งเป็นตำราทางเมตตา เสริมดวงชะตา พลิกชีวิต กลับร้ายกลายเป็นดี ด้วยความเมตตาที่หลวงพ่อรมย์ ที่โปรดญาติโยม ตลอดมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งคนที่โดนคุณไสย มนต์ดำ ก็เดินทางมาขอความเมตตาจากท่าน การเจ็บป่วยที่ไม่สามารถอธิบายได้ไปหาหมอแล้วก็รักษาไม่หาย จึงต้องมารักษานี้ ใครที่เจ็บป่วยแล้วไม่หายสักที บางทีถึงเสียสติเลยก็มี บางคนถึงเสียชีวิต แต่มาแล้วบางคนก็รักษาหาย รอดชีวิต ก็มากมาย ตลอดหลายสิบปีที่หลวงพ่อรมย์ท่านได้เมตตาลูกศิษย์ เสมอมา ทั้งดาราศิลปิน ที่เดินมากราบท่าน เมื่อกลับไปแล้วการงานรุ่งเรือง ธุรกิจดีขึ้น การงาน การเงินก็ดีขึ้น เรื่อยๆไม่ว่าจะติดต่อเจรจาค้าขาย ก็คุยง่าย ประสบความสำเร็จ
    ประวัติหลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์ วิริยะธมฺโม เกิดวันพฤหัสวันที่ 20 เดือนเมษายน 2509 ปีมะเมียอายุ 55 ปี 30 พรรษา เจ้าอาวาสวัดเทพนรสิงห์ ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ศิษย์เอกคู่บุญคู่บารมี หลวงปู่พวง ธมฺมสาโร มีพี่น้อง 10 คนท่านเป็นคนที่ 8 บิดาชื่อพ่อลัน อ่วมรัมย์ อายุ 90 ปีเสียชีวิตแล้ว มารดาชื่อแม่อื่ง อ่วมรัมย์อายุ 50 ปีท่านก็เสียชีวิตแล้ว ท่านบวชตอนอายุ 25 ปี พระครูธรรมะประภากร หรือหลวงปู่เอก วัดศาลาลอย มรณะภาพแล้ว พระกรรมวาจาจารย์พระครูสังฆรักษ์บันจง พระอนุกรรมวาจารพระครูประนอม หลังจากบวชได้ขออุปัชฌาย์ไปอยู่ที่วัดเทพนรสิงห์ เพื่ออยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่พวง ธมฺมสาโร และได้เรียนวิชา ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่พวง สมัยนั้นวัดเทพนรสิงห์ยังไม่เจริญยังเป็นป่าช้าอยู่ เหมาะแก่การฝึกกรรมฐาน ฝึกอยู่หลายปีจนแตกฉานในวิชาต่างๆ และท่านมีจิตอยากจะเดินธุดงค์เพื่อฝึกจิตไห้มีความมั่นคง ตั้งใจจะบวชตลอดชีวิตของท่าน หลวงปู่พวงได้ทราบด้วยญาญของท่านว่า หลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์สามารถทำหน้าที่แทนท่านได้แล้วทุกอย่างจึงได้มอบหมายให้หลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์เป็นเจ้าอาวาสแทนท่าน



    upload_2022-1-1_20-13-5.jpeg



    ♦♦♦ “หลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์” ศึกษาที่มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ด้านพุทธศาสตร์บัณฑิตจบปริญญาตรี และนักธรรมเอก ความรู้ของท่านไม่ใช้ธรรมดาเลย และครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์ได้ไปขอเรียนวิชาคาถาอาคมด้วยมีหลายท่านอาทิ หลวงปู่พวง ธมฺมสาโร 89 ปี 46 พรรษา หลวงปู่เอก วัดศาลาลอย อายุ 89 ปีมรณภาพแล้ว หลวงพ่อแสง ฐานธมฺโม พระธุดงค์เหนือโลกอยู่ป่าตลอดชีวิต ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อเณรวัดทุ่งเศรษฐี หลวงปู่พวน วรมังคโล วัดช้างหมอบ มรภาพแล้วหลวงพ่อชิต เตชธัมโม ปู่พรำ วัดป่าเรไร อายุ 85 ปีมรณภาพแล้ว หลวงปู่มั่ง วัดบ้านตาแผ้ว อายุ 96 ปี มรณภาพแล้ว



    upload_2022-1-1_20-13-5.jpeg



    ♦♦♦ “คุณนิพนธ์ ระยองรีไซเคิล” ประธานจัดสร้างวัตถุมงคล “เหรียญเสมาเลื่อนยศ หลวงพ่อรมย์ รุ่น 1” ในวาระสำคัญ หลวงพ่อรมย์ เจ้าอาวาส วัดเทพนรสิงห์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระครูสมุห์รมย์ วิริยะธมฺโม” คุณนิพนธ์ เสียงจันทร์ จึงจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นแรก เลื่อนยศ รุ่น 1 เป็นเหรียญที่ระลึก จัดพิธีพุทธาภิเษกไปแล้วเมื่อวันพฤหัสบดี วันที่ 8 ตุลาคม 2553 โดยพระเกจิอาจารย์ดัง ร่วมนั่งปรกอธิฐานจิต 8 รูป ได้แก่ (1) หลวงพ่อรมย์ เจ้าอาวาสวัดเทพนรสิงห์ (2)หลวงปู่พวง วัดเทพนรสิงห์ (3) พระราชพัฒนโสภณ (หลวงพ่อเณร ญาณวินโย) เจ้าอาวาสวัดทุ่งเศรษฐี กรุงเทพ (4) หลวงปู่ทองสุข วัดหนองฆ้อ จ.ระยอง (5) หลวงพ่อนัส วัดอ่าวใหญ่ จ.ตราด (6) หลวงพ่อสมัย วัดป่าเกาะแหลม จ.นครราชสีมา (7) พระอาจารย์ขวัญเมือง วัดป่าหนองหล่ม จ.สระแก้ว (8) หลวงพ่อชิต วัดบ้านสนวน จ.ศรีสะเกษ
    ช่วงเช้าวันที่ 8 ตุลาคม 2563 จัดพิธีบรวงสรวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชุมนุมเทวดาเมื่อเวลา10.59 น. เพื่อความเป็นสิริมงคล คุณนิพนธ์ระยองรีไซเคิล เป็นประธานพิธีบรวงสรวง เพื่ออัญเชิญเทวดา ตามตำราหลวงปู่หงส์ เทพเทวดามาอำนวยอวยพร ช่วงบ่าย เวลา 13.09 เริ่มพิธีพุทธาภิเษก คุณนิพนธ์ระยองรีไซเคิลเป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตน์ไตร เจ้าคุณหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี เป็นประธานจุดเทียนชัย พระสงฆ์ 9 รูป เจริญพุทธมนต์ บทพุทธาภิเษก พระเกจิอาจารย์ 8 รูปนั่งปรกอธิษฐานจิต เวลา 14.09 หลวงปู่สุขวัดหนองฆ้อ ศิษย์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เป็นประธาน ดับเทียนชัย เจิมวัตถุมงคล เพื่อความเป็นสิริมงคล คุณนิพนธ์ พร้อมคณะถวายปัจจัย พระเกจิอาจารย์ ที่ร่วมนั่งปรกอธิฐานจิตวัตถุมงคล พร้อมถวายวัตถุมงคลเป็นเสร็จพิธี หลังจากนั้นหลวงพ่อพระครูสมุห์รมย์ได้แจกวัตถุมงคลแก่ผู้ที่ร่วมพิธีด้วยตนเอง เชิญผู้ที่สนใจ “เหรียญเลื่อนยศ รุ่นแรก หลวงพ่อรมย์ รุ่น 1” ติดต่อสอบถาม โทร. 097-358-0896
    :- https://www.banmuang.co.th/column/other/6100
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ประสบการณ์แห่งภพชาติที่น่ากลัว กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    30,651 views Dec 28, 2021
    หลวงปู่จันทา ถาวโร ได้เล่าถึงอดีตชาติของท่านให้สานุศิษย์ฟังว่า อดีตชาติที่แล้ว ท่านเคยเกิดเป็นจระเข้ เคยเกิดเป็นหมี เคยเกิดเป็นหมู เคยเกิดเป็นลิง และเคยเกิดคน..
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อาจารย์ยอด : วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อขอม อกิญจโน [น่ารู้] new

    อาจารย์ยอด
    1.5M
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๓๔.ลี้ลับผีเรือน ตอน ๑ ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    ๒๓๕. ลี้ลับผีเรือน ตอน๒ (จบ) ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    -เรื่องราวน่าพิศวงลี้ลับของผีเรือนที่หมู่บ้านเสี้ยวโหลง เมืองยางเขตรัฐฉานเหนือ
    -พระธุดงค์หนุ่มไปโปรดครอบครัวของส่างวัน และบอกความปริศนาของผีเรือนให้รู้...

    thamnu onprasert
    59,418 views Jan 4, 2022


     

แชร์หน้านี้

Loading...