หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    วิบากกรรม ผีตาผ้าขาว เชียงใหม่

    thamnu onprasert
    56,814 views Jan 30, 2022
    ตาผ้าขาวสุขมีกรรมทำไว้มาก ตายเป็นผีแล้ว ยังใช้กรรมไม่หมดสิ้น เร่ร่อนไปหาที่เกิดทั่วเมืองเชียงใหม่ แต่ก็หาไม่ได้ จึงไปเกิดในท้องแม่ควาย แต่ก็โชคร้ายถูกกรรมตัดรอน แม่ควายถูกฆ่า วิญญาณตาผ้าขาวสุข จึงต้องเร่ร่อนต่อไปอีก ผลสุดท้ายไปเกิดเป็นบ่าง..ในป่าลึกแดนหิมพานต์!
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระธุดงค์ 6 แผ่นดิน | EP.59 เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร

    100 เรื่องเล่า
    15,415 views Jan 29, 2022
    หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร พระธุดงค์ 6 แผ่นดิน ท่านเกิดที่บ้านนายูง เมื่อปี พ.ศ. 2410 สมัยร. 4 ท่านมรณะภาพ ในปี 2523 ท่านมีอายุยืนนานถึง 113 ปี จึงนับว่าเป็นพระภิกษุ 6 แผ่นดิน ท่านเป็นพระธุดงค์กรรมฐาน ที่เก่งทั้งทางด้านวิทยาคม และวิปัสนากรรมฐาน ท่านธุดงค์ในป่าเขาในแถบประเทศลาว นานถึง 30 ปี พอท่านอายุ 73 ปีท่านจึงได้กลับมาพักที่วัดเทพสิงหาร อ.นายูง จ.อุดรธานี บ้านเกิดของท่าน

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่เครื่อง-วัดเทพสิงหาร.jpg
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร

    วัดเทพสิงหาร
    ต.นายูง อ.นายูง จ.อุดรธานี
    จากงานเขียนของท่านอำพล เจน
    ตีพิมพ์ใน นิตยสารศักดิ์สิทธิ์
    โดย...อำพล เจน

    http://www.suankhung.com/index.php?l...6598&Ntype=777
    วัดเทพสิงหาร ต.นายูง อ.นายูง จ.อุดรธานี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ โดยท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย แต่ผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก คือ หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร


    ภิกษุ ๖ แผ่นดิน


    หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร ท่านเกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ แก่กว่าหลวงปู่มั่น ๓ ปี หลวงปู่มั่นเกิดปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ที่บ้านนาหมี ตำบลนายูง จังหวัดอุดรธานี เพราะเกิดแต่ปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และถึงกาลมรณภาพในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ด้วยอายุยืนยาวถึง ๑๑๒ ปี จึงได้ชื่อว่าภิกษุ ๖ แผ่นดิน


    คนที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ แต่เคยเฆี่ยนตีสัตว์ จะมีอายุยืน และมีโรคเบียดเบียน ส่วนคนที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่เคยเฆี่ยนตีสัตว์ ทั้งอายุยืน และไม่มีโรค หลวงปู่ดุลย์ อตุโล lp-kruang-037.jpg กล่าวไว้ และองค์ท่านเองก็อายุยืนยาวและไม่มีโรคเบียดเบียน


    หลวงปู่เครื่อง เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ พุทธศักราช ๒๔๑๐มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓ เป็นภิกษุอายุยืนที่สุดในภิกษุสายกัมมัฏฐานศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร ทั้งปวง


    บ้านเกิดบ้านป่า


    บ้านนายูง สมัยท่านเกิดคือบ้านป่าที่แท้จริง มองดูนายูงทุกวันนี้ก็มีรอยป่าดิบให้นึกเห็นภาพ ต้นไม้ที่หายไปให้เอาปีเดือนคูณเข้า ภาพป่าดงดิบก็จะชัดเจนสมบูรณ์จนเยือกหนาว


    สมัยที่ท่านเกิด คือสมัยของเด็กบ้านป่า ไม่ใช่สมัยพระเถรในตอนปลายชีวิตจึงไม่จำเป็นต้องพรรณนาถึงความกันดาร ลำบาก หรือคับแค้นแห่งการดำรงชีวิตคนบ้านป่า-ไม่ว่าไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งสิ้น


    อุปสมบทครั้งที่ ๑ (ก่อนเบียด)


    บวชครั้งแรกอายุ ๒๑ ปีเต็ม เข้าใจว่าท่านบวชตามประเพณีนิยม พรรษาเดียวก็มีอันได้สึกออกมาสมรสกับ นางสาวนาค ลุนทอง ชาวหมู่บ้านเดียวกัน เรียกว่าบวชก่อนเบียด


    อนิจจังกับการครองเรือน


    lp-kruang-039.jpg
    หลวงปู่เครื่อง ขณะดำรงเพศฆราวาสในชีวิตครองเรือนกับนางนาค ก็มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏขึ้น บุตรชาย-หญิงทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กไปด้วยกัน (ไม่ทราบสาเหตุของการตายท่านไม่ได้เล่าไว้) ต่อมานางนาคผู้เป็นมารดาผู้พิลาปร่ำรำพันหาลูกทั้งสองคนไม่สร่าง ก็ตรอมใจตายตามไปอีกคน เสียลูก เสียเมีย และเสียขวัญอย่างใหญ่หลวงแล้ว


    ทุกข์ที่ส่งมอบโดยมือของอนิจจังกับอนัตตา คือสิ่งที่ท่านรับมือไม่อยู่ ถึงกับเตลิดเปิดเปิงไปอย่างคนที่สิ้นไร้ความหมายแห่งชีวิต เหมือนถูกพายุใหญ่ชัดไปไกลจนถึงเมืองลาว ไปเพื่อให้ลืม หรือเพื่อให้จำก็ไม่มีใครรู้จัก นอกจากตัวท่านเอง

    อุปสมบทครั้งที่ ๒


    ***เบื่อหน่ายเป็นเหตุผลเดียวที่ท่านบอกเพื่อบวชในครั้งที่ ๒ (ท่านบวช ๒ ครั้งพร้อมมีครอบครัวคล้ายหลวงปู่เพชร ปทีโป สหธรรมิกของท่าน)***


    สถานที่บวช - วัดสีสะเกด แขวงเมืองเวียงจันทน์


    อุปัชฌาย์ - พระครูแก้ว


    พระกรรมวาจาจารย์ - พระอาจารย์เถิง


    พระอนุสาวนาจารย์ - พระอาจารย์คำ


    lp-kruang-038.jpg
    บวชแล้วก็ได้อยู่ศึกษาทั้งวิชาอาคมและการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์คือ พระครูแก้ว ผู้เป็นสหายของเจ้ามหาชีวิตลาว เจ้าศรีสว่างวงศ์ เป็นเวลา ๓ ปีเต็มกับการพำนักจำพรรษากับพระครูแก้ว ท่านจึงได้กราบลาออกหาความวิเวกตามลำพัง


    ชีวิตวิเวก


    พระธุดงค์คล้ายนกขมิ้นหลงรัง ค่ำไหนนอนไหน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกำหนดหมายเดินหน้าไปเรื่อยๆ ในป่าเขาลาว ตอนเหนือสุดของป่าเขาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ท่านพบผีตองเหลืองกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ


    พวกนี้ไม่นุ่งผ้า พอเห็นหลวงปู่ก็ตกใจ พากันซุบซิบอยู่พักหนึ่งแล้วกรูเข้ามาล้อมกรอบหลวงปู่ มีไม้แหลมแทนหอกคนละด้าม ทำท่าจะพุ่งหอกแทงหลวงปู่ ต้องยืนนิ่งๆหลับตาลงเสีย แล้วเร่งภาวนา แผ่เมตตาให้พวกเขา


    หลวงปู่เล่าชวนให้ระลึก


    กิริยาที่หลวงปู่ไม่คิดหนี หากแต่ยืนนิ่งหลับตา เป็นของแปลกที่ผีตองเหลืองกลุ่มนั้น (ประมาณ ๑๐ คน) ไม่เคยเห็นที่คิดจะทำร้ายก็รีรอก่อน แล้วก็พาลสงสัย เข้ามาเขย่าตัวหลวงปู่เพราะเห็นว่ายืนนิ่งเฉยเกินไป


    lp-kruang-040.jpg
    ท่านลืมตาขึ้น ส่งภาษามือ ทั้งโบกห้ามและชี้ไปที่หอกไม้ พวกผีตองเหลืองจึงเข้าใจ และส่งหอกให้หลวงปู่ด้ามหนึ่ง ท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ พวกนั้นจึงดึงมือหลวงปู่ จูงท่านไปสู่ที่พัก และหาอาหารมาถวาย


    แม้เป็นเวลาวิกาลท่านก็รับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ป่าไว้ในบาตร บางทีจะถนอมไมตรีกันไว้ก่อน ที่ท่านรับแล้วฉันมีเพียงน้ำเท่านั้น


    ไม่ได้อบรมธรรม แต่สอนอารยธรรม


    คืนนั้นท่านนั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง มีผีตองเหลืองทั้งหมดนั่งล้อม คืนประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม ท่านสอนให้พวกนั้นรู้จู้กเอาใบไม้มาปิดอวัยวะที่เปลือยล่อนจ้อนเป็นครั้งแรก ทายสิครับว่าพวกนั้นเชื่อหรือไม่ ต่อไปใบไม้สวยๆ ก็จะเป็นแฟชั่นของผีตองเหลืองเผ่านี้ดอกกระมัง

    กลับบ้านเกิด
    ท่านคิดถึงบ้านเกิด


    ขณะนั้นบิดาของท่านคือ หลวงศักดาธรรมเรือง อายุปูนแก่มากแล้ว กำลังถือศีลเป็นชีปะขาวในบ้านนายูง บ้านเกิด ท่านก็กลับมา และได้ตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้นในที่ลุ่มข้างเนินเขาเตี้ย ๆ ติดกับหมู่บ้าน (ปัจจุบันคือสถานที่ตั้งสถานีอนามัยตำบลนายูง)


    อาคันตุกะสำคัญและเป็นอาจารย์แนะนำการปฏิบัติธรรม


    ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ ภิกษุอาคันตุกะรูปหนึ่งธุดงค์มาถึง และเข้าพำนักในสำนักวิปัสสนาของหลวงปู่เครื่อง ภิกษุอาคันตุกะท่านนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงปู่เครื่อง แต่ศักดิ์ศรีและฐานะของท่านยิ่งใหญ่เกินประมาณ ท่านคือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตเถร


    lp-kruang-001.jpg
    พระอาจารย์มั่นได้ธุดงค์มาที่บ้านนายูง หลวงปู่เครื่องจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน


    พระอาจารย์มั่นได้เสนอแนะให้หลวงปู่เครื่องจัดหาสถานที่ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้อยู่ในสถานที่สูงกว่าเดิม หลวงปู่เครื่องเห็นด้วยและลงมือปฏิบัติด้วยกัน วัดเทพสิงหารจึงอุบัติขึ้นในบัดนั้น


    ธุดงค์สู่เมืองนักปราชญ์


    ๔ ปีในการพำนักอยู่ด้วยกันของทั้งสองท่านในวัดเทพสิงหาร นับเป็นเวลามากมายสำหรับนักปฏิบัติสองคนจะได้แลกเปลี่ยนข้อธรรม และแสดงอุปนิสัยแก่กันจนเป็นที่พอใจแก่กัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะได้ออกเดินทางไกลร่วมกันสักครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มั่นกับหลวงปู่เครื่อง ออกธุดงค์สู่เมืองอุบลราชธานี


    สำเร็จลุน


    ถึงอุบลฯ หลวงปู่เครื่องได้แยกทางกับพระอาจารย์มั่นมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออกสู่อำเภอโขงเจียม ตะวันออกสุดแดนสยาม ข้ามเขตแดนประเทศเข้าสู่แผ่นดินลาว เป้าหมายคือ สำเร็จลุน ขณะนั้นสำเร็จลุนมีอุโฆษแห่งชื่อชนิดไม่ที่กั้นไว้ได้เป็นผู้ที่ถูกประมวลไว้ด้วยความลี้ลับ อภินิหาร และฉกาจแห่งขลังอย่างไม่มีใครระบือเท่า ขณะนั้นท่านพำนักอยู่วัดเขาแก้ว แขวงเมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งนั่นคือที่ซึ่งหลวงปู่เครื่องเดินออกไปหา


    ฝากตัวเป็นศิษย์


    lp-kruang-036a.jpg
    หลวงปู่เล่าว่าได้อยู่ศึกษาวิชาอาคมและปฏิบัติธรรมกับสำเร็จลุนเป็นเวลา ๓ ปี ได้เห็นอภินิหารของท่านมากมาย เช่นบางครั้งลงจากเขาไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน พอจะกลับ สำเร็จลุนหายตัวไปเฉยๆ เมื่อท่านกลับถึงวัดก็พบสำเร็จลุนนั่งรอฉัน


    นี่เป็นเรื่องแปลกที่พบเห็นบ่อยที่สุด


    สำเร็จลุนมักอยู่ในถ้ำตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเว้นแต่บิณฑบาตเท่านั้นจึงจะออกมา หลวงปู่เครื่อง ก็เป็นศิษย์อีกคนหนึ่งที่ไม่ใคร่จะพูดถึงสำเร็จลุนผู้เป็นอาจารย์ เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่อยากพูด


    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำถามนี้ผมยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้


    พระอาจารย์เสาร์


    เมื่อสำเร็จลุนเห็นว่าหลวงปู่เครื่องพอจะเอาตัวรอดได้แล้ว จึงแนะนำให้ท่านไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล สหธรรมิกของสำเร็จลุน เคยอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยกันบนภูเขาควาย ท่านให้เหตุผลว่า การยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ไม่อาจพบยอดธรรมอันวิเศษโดยง่าย อาจารย์คือผู้ชี้ทางเดินให้แค่นั้น ๓ ปี กับสำเร็จลุนก็สิ้นสุดลง


    ท่องไพรฉบับธุดงค์


    สำเร็จลุนไม่ประสงค์ให้หลวงปู่เครื่องยึดติดอยู่กับครูบาอาจารย์ ชะเนาะขันเกลียวระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็คลาย อิสรภาพของศิษย์ก็อุบัติขึ้น แต่ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกลับเข้ามาครอบงำแทน แม้คำแนะนำเชิงคำสั่งให้หลวงปู่เครื่องไปหาพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล จะยังก้องในหู ทว่าเสียงเพรียกแห่งป่าดงพงพียังร่ำให้ท่านก้าวเข้าไปหา สมบัติอันล้ำค่าของนักปฏิบัติรอท่านค้นเอาอยู่ในนั้น
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)

    ยังก่อนพระอาจารย์เสาร์

    ต้องป่าวิเวกเป็นปัจจุบันเท่านั้น
    เมื่อออกจากพระอาจารย์สำเร็จลุนแล้ว ท่านได้วิเวกไปทางแขวงวังเวียงที่ยังคงขึ้นอยู่กับจำปาศักดิ์ พื้นที่ทั้งหลายเป็นป่าดงดิบ ห้อมล้อมหนาแน่นและกว้างไกล จนเป็นเหตุให้ท่านต้องวนเวียนอยู่ในป่าแถบนั้นเป็นเวลานานถึง ๒ ปี เหมือนว่าหลงป่า และมีป่าเป็นที่เลี้ยงชีพ มีผลไม้ป่าบรรเทาความหิวและเติมกำลังให้เดินหน้าไปได้ไม่จอดสนิทกับที่
    ข้อเท็จจริงของป่าเมืองลาวนั้น ถ้าผู้ไม่รู้จักคุ้นเคยกับเส้นทางที่ทอดแทรกไปป่าที่เชื่อมหมู่บ้านหรือเมืองทั้งเมืองเอาไว้ สภาวะของคนหลงป่าย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
    คำพูดที่ว่า ป่าดงดิบ มันเป็นคำพูดที่ง่ายเกินไป แต่ความเป็นจริงแล้วมันยิ่งใหญ่เกินประมาณ อย่างเช่นพื้นที่ป่าเขาแถบริมโขงด้านโขงเจียม หรือศรีเมืองใหม่ ถ้าเดินออกไปไม่ถูกทิศ บอกได้ว่าทั้งเดือนหรือทั้ง ๓ เดือน คุณจะไม่มีวันพบบ้านเรือนผู้คนเลย
    ป่าดงดิบก็ดูจะเบาไปหน่อยเมื่อเปรียบกับน้ำหนักป่าเมืองลาวที่แท้จริง
    บ้านชาวไทยเขินกับผีเฮี้ยน
    ในวันหนึ่งในระหว่าง ๒ ปี ที่ท่านวนเวียนในป่าแขวงวังเวียง ท่านเดินเท้าถึงภูพระมอม ซึ่งที่นั่นมีหมู่บ้านป่าซุกตัวอยู่แห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านของพวกไทยเขิน หมู่บ้านใหญ่พอสมควร ถึงกับมีวัดสวยงามเก่าแก่อยู่ประจำด้วย พวกชาวบ้านได้นิมนต์หลวงปู่เครื่องอยู่จำพรรษา ซึ่งท่านก็รับ เนื่องจากว่าแม้เป็นวัดงดงามเก่าแก่ แต่กลับไม่มีพระเณรอยู่ประจำแต่อย่างใด
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
    ไม่มีกุลบุตรใดในหมู่บ้านนี้มีศรัทธาหรืออย่างไร
    ไม่มีชาวบ้านคนไหนเอาใจใส่บำรุงพระเณรให้อยู่ได้รึ

    คำตอบคือไม่ใช่
    จิตหรือใจหรืออะไรที่นึกรู้ได้นั้น บอกหลวงปู่ว่านี่คือวัดเฮี้ยนที่เอาเป็นเอาตายแก่พระเณรที่มาอยู่อาศัยจนกระทั่งอยู่ไม่ได้ หรือพากันตายไปเอง
    ที่นึกรู้ก็เป็นว่านึกรู้ได้ถูกต้อง เมื่อชาวบ้านสารภาพว่า ที่นี่ได้มีผีดิบอาละวาดมาเนิ่นนานแล้ว
    ๔ เดือนที่ผ่านมา มีคนตายเพราะผีดิบ ๔๐ คน
    ผีดิบไม่ใช่ผีสุก
    ผีสุกคือผีที่ถูกเผา ผีดิบคือผีที่ฝังดิน ไม่ใช่ผีอย่างท่านเคาน์แดร็กคิวล่า หรอกครับ

    คาถาปราบ
    หลวงปู่เล่าว่าระหว่างพำนักที่วัดแห่งนั้น ท่านเจริญพระคาถาขันธปริตรจนได้ผลดี ผีเฮี้ยนหรืออะไรที่ทำให้คนตายไม่มีสาเหตุก็จางหาย ความร่มเย็นเป็นสุขก็คืนกลับมาสู่หมู่บ้านและวัดแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง
    พระอาจารย์เสาร์สอนปฏิบัติธรรม


    lp-kruang-041.jpg
    ออกพรรษาแล้วท่านก็ออกจากป่าที่เรียกว่าหลงอยู่ ๒ ปีได้สำเร็จ ท่านสามารถจับทิศทางการเดินธุดงค์ได้โดยไม่สะเปะสะปะอย่างเก่า และคราวนี้ท่านเดินขึ้นเหนือมุ่งสู่เวียงจันทน์
    ขึ้นเวียงจันทน์ก็มีโอกาสได้พบพระธุดงค์จากเมืองไทยหลายท่าน และหนึ่งในจำนวนพระไทยที่ได้พบก็คือพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
    น่าเสียดายที่ไม่มีรายละเอียดของการอยู่กับพระอาจารย์เสาร์ แต่เมื่อแยกจากพระอาจารย์เสาร์แล้ว ชีวิตธุดงค์ของหลวงปู่ก็ดำเนินต่อไป

    ๓๐ ปีในเมืองลาว
    หลวงปู่เครื่องแทบจะเป็นพระลาวไปแล้ว เมื่อรวมยอดเวลาทั้งหมดที่ท่านโคจรอยู่ในแผ่นดินลาวนับได้ ๓๐ ปี ถ้าไม่มีสงครามอินโดจีน ท่านคงจะอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ ระหว่างสงครามท่านเดินทางกลับประเทศไทย ขณะนั้นอายุของท่านปาเข้าไปถึง ๖๐ ปีแล้ว และได้ใช้ชีวิตธุดงค์ต่อไปในประเทศไทย เดินออกไปทั่วภาคอีสาน ล่องลงจนถึงกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่สงครามดำเนินอยู่ จนกระทั่งสงครามสงบ แผ่นดินลาวก็กวักมือเรียกท่านให้เดินเข้าไปหาอีกครั้ง
    ภูเงี้ยว
    กลับเข้าเมืองลาวครั้งนี้ท่านขึ้นภูเงี้ยว ท่านเล่าว่าสัณฐานของภูเงี้ยวเป็นภูเขาสูงชัน ทรงสี่เหลี่ยม มีถ้ำมากมาย และมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมหาศาล แต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นของขี้ค้างคาวปรากฏเลย
    หมู่บ้านประหลาด
    ที่เหลือเชื่อยิ่งขึ้นคือท่านพบหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เชิงภูเงี้ยว มีครอบครัวชาวบ้านอยู่รวมกันราว ๑๐ หลังคาเรือน คนทั้งหมดไม่ว่าหญิงชาย เด็กหรือคนหนุ่มสาว หรือคนชราล้วนตาบอดกันหมด แม้บอดตาแต่ไม่บอดใจ พวกเขาทราบว่าท่านเป็นพระธุดงค์ ก็พากันดีใจ ขอนิมนต์ท่านเทศนาโปรดเป็นการใหญ่ อิ่มเอิบทั่วกันในกลางป่าแห่งนั้น
    หลวงปู่ถามไถ่สาเหตุที่พวกเขาตาบอด ก็ได้ความว่าเมื่อก่อนต่างมีอาชีพฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์อยู่ในเมือง ต่อมาเกิดโรคระบาด เป็นตาแดงกันทั้งหมด รักษาไม่หาย จนกระทั่งตามองไม่เห็น
    เมื่อตาบอดแล้วก็เป็นปัญหาในการอยู่ร่วมกับสังคม ทางการลาวจึงจัดที่อยู่ให้ และฝึกสอนอาชีพจักสานและงานฝีมือให้ได้ทำอยู่ที่นั่นเป็นที่เวทนาแก่หลวงปู่ยิ่ง

    กลับวัดเทพสิงหาร


    หลวงปู่เครื่องใช้ชีวิตในเมืองลาวคราวนี้นานถึง ๑๐ ปี จนกระทั่งอายุได้ ๗๓ ปี จึงเดินทางกลับเมืองไทย สู่บ้านเกิด บ้านนายูง เข้าสู่วัดเทพสิงหารอีกครั้ง และอยู่อย่างมั่นคงที่นี่ไม่หนีไปไหนอีก อยู่เป็นหลักชัยแห่งการประพฤติปฏิบัติให้ชาวพุทธแถบนั้นยึดเหนี่ยวเป็นตัวอย่างสืบไป
    หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    lp-kruang-034.jpg



    หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร เดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่แหวน สุจิณโณที่วัดดอยแม่ปั๋ง งหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๒๐


    หลวงปู่เครื่องกับหลวงปู่แหวน (เกิด พ.ศ. ๒๔๓๐ บวช ๒๔๕๑ อ่อนกว่าหลวงปู่เครื่อง ๒๐ ปี) แห่งดอยแม่ปั๋ง ทั้งสองท่านรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เคยพบกันและเคยพำนักด้วยกันแต่ครั้งต่างยังโคจรอยู่ในแผ่นดินลาว และเมื่อพรากจากกันแต่คราวนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกจนกระทั่งวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๒๐ เวลาบ่ายโมงตรง คณะของหลวงปู่เครื่องก็ได้เดินทางขึ้นดอยแม่ปั๋ง ทำให้การพบกันครั้งนี้มีความหมายและความน่ารักน่าอบอุ่นปรากฏขึ้นอีก บทสนทนาต่อจากนี้ถอดออกจากเทปบันทึกเสียง มีหลายท่านได้ฟังและได้อ่านมักกล่าวแสดงความชื่นชมว่าน่ารักมาก สำหรับภิกษุชรา ๒ ท่าน ได้ฟื้นความหลังกัน
    หลวงปู่แหวน : “อายุเท่าใดแล้ว อายุล่วงไปกี่ปี”
    หลวงปู่เครื่อง : “ร้อยกว่า”
    หลวงปู่แหวน : “ร้อยเท่าใด”
    หลวงปู่เครื่อง : “ร้อยเก้า”
    หลวงปู่แหวน : “ร้อยเก้าหรือ”
    หลวงปู่เครื่อง : “จะร้อยสิบเต็มในวันที่ ๑๑ พฤษภาคมที่จะถึงนี้”
    หลวงปู่แหวน : “สาธุ มาคนเดียวก้อ หูยังยินก้อ ตายังดีอยู่เนาะ”
    หลวงปู่เครื่อง : “หูยังดี ตายังดีอยู่”
    หลวงปู่แหวน : “อันนี้ตาเทียม ตาจริงมัวหมดแล้ว” ปู่แหวนชี้ที่แว่นตาของท่านเอง
    หลวงปู่เครื่อง : “มาจำพรรษาที่นี่นานหรือยัง”
    หลวงปู่แหวน : “ได้สิบสี่ปี สิบห้าปีแล้วเน้อ”
    อาจารย์หนู (พระครูจิตตวิโสธนาจารย์ (หนู สุจิตโต)) กล่าวย้ำ “มาอยู่ที่นี่ได้สิบห้าปีแล้ว”
    พระราชสิทธาจารย์ (หนู ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ “หลวงปู่แหวนนี่อยู่มาหลายที่ เมื่อก่อนอยู่บ้านเต่าเห่โน่น หลวงปู่แหวนเป็นพระลูกวัด ส่วนอาจารย์หนูเป็นเจ้าอาวาส”
    อาจารย์หนู “ทหารเขาเอาคนหนุ่มมาเป็น คนแก่ไม่เอา”
    หลวงปู่เครื่อง : “คนแก่เป็นทหารไม่ได้นะ”
    หลวงปู่แหวน : “จำเป็นต้องเป็นเจ้าปู่เจ้าตาต่อไป” และกล่าวต่อไปอีกว่า “ปู่หม่อน ปู่หม่อน” (หมายถึงปู่ทวด)
    หลวงปู่แหวน : “แต่เดิมอยู่บ้านใดก้อ”
    หลวงปู่เครื่อง : “บ้านนายูง”
    หลวงปู่แหวน : “บ้านผือ บ้านนายูงนี้ก้อ”
    หลวงปู่เครื่อง : “ใช่แล้ว”
    หลวงปู่แหวน : “บ้านนายูง บ้านน้ำซึม เคยไป”
    lp-kruang-026a.jpg



    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้นำตราประจำพระองค์ "ภปร" ประดิษฐานอยู่บนหน้าบันพระอุโบสถวัดเทพสิงหาร ตำบลนายูง อำเภอน้ำโสม
    หลวงปู่เครื่องเอะอะว่า “นึกว่าใคร จำได้แล้ว”
    หลวงปู่แหวน : “มีบ้านนาหมี นายูง นาต้องเน้อ แต่เดิมเป็นป่ามืด (ป่าดงดิบ) น้อ”
    หลวงปู่เครื่อง : “จำได้อยู่ เคยไปอยู่ร่วมกัน แต่มันนานมาแล้ว”
    หลวงปู่แหวน : “เมื่อปี ๒๔๖๑ อยู่จำพรรษาบ้านคำต้อง (บ้านนาต้อง ???) เน้อ สมัยนั้นเป็นป่าดง คนไปฆ่าสัตว์กันมาก เดี๋ยวนี้จึงมาเกิดเป็นคนเต็มบ้านเต็มเมือง”
    หลวงปู่เครื่อง : “ขอนั่งตามสบายนะ”
    หลวงปู่แหวน : “เอ้า, นั่งตามสบาย เหยียดแข้ง เหยียดขาให้สบายเน้อ”
    หลวงปู่เครื่อง : “ไม่ไปเยี่ยมบ้านบ้างหรือ”
    หลวงปู่แหวน : “ไปเยี่ยมแต่ปี ๒๔๖๑ บรรดาญาติโยมมาตามเอาที่บ้านนาหมีนายูง ไปอยู่สามวันมีคนมาเยี่ยมเจ็ดแปดสิบ
    มู่บ้านจึงอยู่ต่อไปอีก ถึงเดือน ๗ ขึ้น ๓ ค่ำ ขอลาศรัทธาญาติโยมทุกๆ คนเน้อ ลาครั้งนี้ไม่มีกำหนดเน้อ” หลวงปู่
    หวนกล่าวต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ไปอีกเลย”

    พระราชสิทธาจารย์ “มีลูกหลานมาเยี่ยมบ้างไหม”
    lp-kruang-029.jpg



    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสกับหลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร เจ้าอาวาสวัดเทพสิงหาร ตำบลนายูง อำเภอน้ำโสม
    หลวงปู่แหวน : “มีเหมือนกันแต่จำเขาบ่ได้” แล้วหันมาถามหลวงปู่เครื่องว่า “เคยไปเรียนหนังสือกับอาจารย์หงษ์ อาจารย์สิวที่บ้านลาเขาใหญ่ อุบลฯ บ้างหรือไม่”
    หลวงปู่เครื่อง : “เคยไปอยู่สี่ห้าปี”
    หลวงปู่แหวน : เมื่อแต่ก่อนเคยไปเหมือนกัน ครูบาอาจารย์เอาหนังสือใส่หลังช้างมามากเน้อ”
    พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยม
    เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมพสกนิกรที่บ้านน้ำทรง ต.นางัว อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี หลวงปู่เครื่องได้เข้าเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว และกราบบังคมทูลความประสงค์จะก่อสร้างพระอุโบสถ วัดเทพสิงหาร พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๒๘,๐๐๐ บาท เป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างพระอุโบสถ บรรดาข้าราชบริพารร่วมกันถวายเพิ่มเติมอีก ๓๕,๐๐๐ บาท ภายหลังพระอุโบสถสร้างสำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ไว้ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถด้วย

    อภินิหาร
    lp-kruang-005.jpg
    กำนันสุรชาติ ชำนาญศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.อุดรธานี เล่าว่า เคยถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) กลุ่มหนึ่งจากภูซาง ใกล้อำเภอน้ำโสม จับตัวไปเรียกค่าไถ่ ตอนกลางคืนผกค.หลับยาม ก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากเชือกที่พันธนาการตนเอง แต่ก็ดิ้นไม่หลุด จนเหนื่อยและอยากจะหลับไป ก่อนหลับได้อธิษฐานขอบารมีหลวงปู่เครื่องให้ช่วย จนกระทั่งในที่สุดก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

    พอลืมตาตื่นในวันรุ่งขึ้นเชือกที่พันธนาการหลุดออกหมด ผกค. หายตัวไปหมด ไม่ทราบว่าใครมาช่วยหรือ ผกค. เกิดเปลี่ยนใจอย่างไร พอลงจากภูซางได้ก็รีบบึ่งไปกราบหลวงปู่เครื่อง และถวายตัวเป็นศิษย์แต่นั้นมา

    มรณภาพ
    วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ หลวงปู่เครื่องได้มรณภาพลง ในขณะมีอายุได้ ๑๑๒ ปี ปัจจุบันอัฐิธาตุของท่านประดิษฐานอยู่ที่วัดเทพสิงหาร ศิษย์หรือใครก็ตามสามารถไปนมัสการได้ทุกวัน...
    โอวาทธรรม
    จิตมนุษย์มีพลังมหาศาล จะทำอะไรก็มักสำเร็จ ก็เพราะมีดวงจิตที่เป็นกำลังสำคัญ จิตดวงเดียวสำคัญที่สุด?จิตมันบอกลักษณะไม่ได้ แต่มันก็มีความรู้สึกอยู่ภายใน?เว้นแต่ว่ามนุษย์เกิดมาแล้ว จะเอาดีหรือเอาชั่วเท่านั้น มันเป็นขั้นตอนอยู่ตรงนี้ถ้าเอาดีก็ต้องได้ของดีมาประดับตัวแน่นอน
    มนุษย์ควรเจริญด้วยธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติในข้อวัตรปฏิบัติธรรม คือ ความดีมีศีลธรรมนั้นเองจะช่วยได้

    bar-red-lotus-small.jpg
    :- http://www.dharma-gateway.com/monk/...g-thammajaro/lp-kruang-thammajaro-hist-01.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2022
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2022
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาในป่าภูกระดึง// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    31,545 views Jan 26, 2022

    ในสมัยที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรพร้อมกับพระเพือนสนิทสองรูปคือ หลวงพ่อฤาษีลิงเล็กและหลวงพ่อฤาษีลิงขาว ท่านได้พบเจอกับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญานมากมายถึง 16 รูป ซึ่งทุกรูปนั้นต่างซีอนตัวอยู่ที่ป่าภูกระดึง จังหวัดเลย..
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาในป่าภูกระดึง ตอน 2// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    7,299 views Jan 27, 2022
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก และหลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลังจากได้พบกับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณในกลางป่าภูกระดึงแล้ว ท่านทั้ง 3 จึงได้กราบขอให้พระอรหันต์เหล่านั้นช่วยเมตตาชี้แนะสั่งสอน เผื่อจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์บ้าง ซึ่งพระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด..
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่บุญ ปัญญาวุฑโฒ

    หลวงตา

    12,890 views Feb 1, 2022
    ประวัติหลวงปู่บุญ ปัญญาวุฑโฒ วัดศรีโนนสัง อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๗๘.ดอยศักดิ์สิทธิ์ ตอน ๑ ผจญภัยบนดอยสูง

    ๗๙. ดอยศักิ์สิทธิ์ ตอน ๒ ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    ส่างอุ่นเปิงและท่านครูบาอูแลง เดินทางไปแสวงบุญ ที่ดอยศักดิ์สิทธิ์
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๘๐. ดอยศักดิ์สิทธิ์ ตอน ๓ ผจญภัยบนดอยสูง

    เทพจำแลง ช่วยนำทางส่างอุ่นเปิงและคณะขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยคำ

    ๘๑. ดอยศักดิ์สิทธิ์ ตอน ๔ ผจญภัยบนดอยสูง

    ส่างอุ่นเปิงและคณะผู้แสวงบุญ อยู่กราบนมัสการพระธาตุดอยคำ ๒วัน ๒ คืน อุทิศบุญให้กับดวงวิญญาณในป่าอาถรรพ์เชิงดอยคำ

    thamnu onprasert



     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๘๒. ดอยศักดิ์สิทธิ์ ตอน ๕ ผจญภัยบนดอยสูง

    ท่านครูบาอูแลงและส่างอุ่นเปิง ช่วยเหลือชาวบ้านแม่เหียะ..ให้พ้นภัยผีกะ...

    ๘๓. ดอยศักดิ์สิทธิ์ ตอน ๖ (จบ) ผจญภัยบนดอยสูง

    คณะผู้แสวงบุญจากแม่ฮ่องสอน ไหว้พระธาตุบนดอยศักดิ์สิทธิ์ได้สมความปรารถนาแล้วพากันเดินทางกลับคืนสู่แม่ฮ่องสอน...
    thamnu onprasert

    149,614 views Jan 29, 2021
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๓๘. โปรดผี ดอยงู ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    75,069 views Feb 1, 2022
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยเดินธุดงค์จาริกไปถึงดอยงู เขตเมืองยาง ท่านได้ช่วยเหลือเปรตผี ๒ ตนให้พ้นจากวิบากกรรม.



     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๐๙.พบธรรมที่แสนหวี ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    154,013 views Jun 11, 2021

    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทย ช่วยเหลือให้ผีตนหนึ่งได้พบกับแสงแห่งพระธรรม ที่เมืองแสนหวี
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร ผู้สำเร็จอภิญญา ๖

    หลวงตา
    54,944 views Feb 2, 2022
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้งต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่บุญจันทร์-จนฺทวโร-วัดถ้ำผาผึ้ง.jpg
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร

    วัดถ้ำผาผึ้งต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร พระอรหันต์ผู้ประเสริฐดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ
    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร เป็นพระป่าวิปัสสนากรรมฐานในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, ท่านพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

    หลวงปู่บุญจันทร์ ท่านมีปฏิปทาน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก ท่านเป็นผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดผาดโผนมาโดยตลอด ภายหลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ท่านมีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่น จึงได้กล่าวกับโยมพ่อว่า ทรัพย์สินที่ไร่ที่นาทั้งหลายให้ขายให้หมด หากท่านอยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ สึกออกมาท่านจะหาเอาเอง หากหาไม่ได้ก็จะกินดินแทนข้าว และยังได้บอกกับโยมพ่อด้วยว่า ทรัพย์สินของโยมพ่อก็ขายให้หมดด้วย แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเองก็ให้ออกบวชเสีย หลวงปู่บุญจันทร์ เป็นพระผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว อาจหาญตามแบบครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ปฏิบัติมา ท่านเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้ เพราะได้ชักนำให้โยมพ่อบวชพระและโยมแม่บวชชี เพื่อปฏิบัติธรรมจวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของโยมทั้งสอง
    “มาหาเฮาทำไมตั้งไกล อยู่ใกล้ๆ ทำไมไม่ไปหาอาจารย์บุญจันทร์ กันท่านเป็นพระดีแท้เน้อ”
    คำพูดนี้เป็นของ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่มักจะพูดกับชาวบ้าน อ.ฝาง หรือ อ.ไชยปราการ เมื่อไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่ง “อาจารย์บุญจันทร์” ที่ท่านพูดถึงก็คือ หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่

    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร นามเดิมท่านชื่อ นายบุญจันทร์ พงศ์สวัสดิ์ เกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอังคาร เกิด ณ เมืองพล อำเภอพล ตำบลเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น

    บิดาชื่อ นายเพียร พงศ์สวัสดิ์ มารดาชื่อ นางสงบ พงศ์สวัสดิ์ มารดาและบิดาเป็นชาวนา อาชีพทำนาทำสวน เมื่อเกิดมาแล้วมารดาและบิดาก็ได้เลี้ยงดูเจริญขึ้นตามลำดับ จนมีอายุได้ ๘ ปี ก็ได้ฝากให้เรียนหนังสือ ที่โรงเรียนประชาบาลเมืองพล จนเรียนจบประถมสี่ ก็ได้ออกจากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน ช่วยบิดามารดาทำนาทำสวน

    ครั้นอายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ชีวิตความเป็นหนุ่มก็กำลังเจริญขึ้น กิเลส ความโลภอยากได้ยินดี มันก็เจริญขึ้น จึงต้องทำงานต่างๆ ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง ค้าขายบ้าง หาปู หาปลา ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอามากิน เอามาเลี้ยงพ่อแม่ เอามาขาย เอาเงินเก็บหอมรอบ ริบ เพื่อจะมีครอบครัวในอนาคต จนอายุเจริญขึ้น ย่างเข้า ๒๑ ปี พ่อแม่ก็ปรารภเรื่องจะให้มีครอบครัว เจ้าตัวเองก็เลยคิดว่า ถ้าไปมีครอบครัว แล้วกลัวจะไม่ได้บวช ฉะนั้น เมื่อพิจารณาตกลงใจว่า จะต้องบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เสียก่อน ถ้าอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา ก็ค่อยมีครอบครัวทีหลัง จึงบอกความประสงค์ให้พ่อแม่ทราบ ท่านก็ยินดีอนุโมทนาด้วย

    ต่อมาท่านจึงนำไปฝาก ท่านอาจารย์ทองสุข ที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ เมืองพล เพื่อฝึกหัดครองนาคและฝึกขัอวัตรปฏิบัติในเบื้องต้น เช่น หัดกราบไหว้ หัดปฏิบัติครูบาอาจารย์ หัดกินข้าวหนเดียว หัดท่องครองนาค และฝึกทำนองมคธ ภาษา หัดไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ตักน้ำใส่โอ่ง ส่วนบริขารเครื่องบวชนั้นบิดามารดาท่านเป็นเจ้าภาพจัดหา ตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไปหัดนาคอยู่ ๑๕ วัด บิดาท่านก็ได้ไปติดต่อพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเวลานั้นมี พระครูอนุโยคธรรมฌาน เป็นพระอุปัชฌาย์ มี อาจารย์มหาประสงค์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้บรรพชาและอุปสมบทที่พัทธสีมา วัดสระจันทร์ เมื่ออายุ ๒๑ ปี วันที่ ๓๑ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ วัดสระจันทร์ ตำบลเมืองเกา อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น

    เมื่อเสร็จการบรรพชาอุปสมบทแล้ว ก็ได้ลาพระอุปัชฌาย์ ไปจำพรรษาที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ มีท่านอาจารย์ทองสุข เป็นอาจารย์ ได้มอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็แนะนำสั่งสอน ให้ท่องทำวัตรเช้าเย็น แนะนำให้ท่องสวดมนต์ แนะนำให้ท่องนวโกวาท แนะนำให้ดูหนังสือนักธรรมตรี ครั้นถึงเวลาเช้า ก็นำทำวัตรเช้า ตอนเย็นก็นำทำวัตรเย็น ตอนเช้า ตื่นระยะเวลา ตี ๓-๔ ก็ลงมาที่ศาลา ปัดกวาดบนศาลา เสร็จก็ปูเสื่อ ปูอาสนะ ที่นั่งของอาจารย์ และพระตามลำดับ ตั้งน้ำฉัน ตั้งกระโถนเตรียมบาตร เมื่อถึงเวลาออกบิณบาตประมาณ ๗ โมง ก็ไปบิณฑบาต บ้านคึมชาติบ้าง บ้านเหล่านาคีบ้าง บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาฉันที่ศาลาภายในวัด จัดแจงอาหารแจกจ่ายกันทั่วถึง แล้วก็ลงมือฉันด้วยสำรวม ฉันเฉพาะในบาตร ฉันวันละครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อฉันเสร็จก็นำบาตรไปล้าง แล้วนำมาเช็ดให้แห้ง เอาผึ่งแดดพอสมควร แล้วก็เอาใส่สลกตั้งไว้ แล้วก็ช่วยกันปัดกวาดศาลา เก็บเสื่อเก็บอาสนะ เก็บกระโถน ที่ล้างแล้วก็เอามาเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย ต่อมาก็เก็บบาตร และเครื่องใช้ของตนไปกุฏิ เอาบาตรและบริขารอื่นไปไว้แล้ว ก็เตรียมท่องหนังสือสูตรไหน ที่ยังไม่ได้ก็เตรียมท่องต่อไป
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    ระหว่างที่เป็นนวกภิกษุผู้บวชใหม่ กิจที่จะต้องศึกษายังมีมาก ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน บางทีท่องหนังสือไป มันเหนื่อย ก็หยุดพัก ภาวนา พุทโธ พุทโธ บางทีก็พิจารณากายในอาการสามสิบสอง โดยความเป็นปฏิกูลบ้าง บางครั้ง ก็ กำหนดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ

    ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีโยมชาวบ้านเขาตาย เขาก็มานิมนต์พระไปให้บุญคนตาย คือนิมนต์ไปสวดมาติกาและบังสุกุล ก็มานึกในใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เวลาตายลง เขามีบ้านมีเรือน ก็เอาไปไม่ได้ เขามีวัตถุ ข้าวของ เงินทองก็ เอาไปไม่ได้ บางคนทรัพย์สินเงินทองข้าวของมากมี เวลาตายเป็นผี เอาไปไม่ได้ ความตายนี้ไม่มีอะไรป้องกัน คนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น อย่าว่าแต่คนอื่นจะตายเลย ตัวเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เมื่อความตายมาถึงเรา เราจะเอาอะไรในกายนี้ แม่แต่ผมเส้นเดียวก็เอาไม่ได้

    เมื่อพิจารณาไป ก็เกิดสังเวชสลดใจ จึงได้พิจารณากายตัวเอง ถึงมรณานุสติ มากเข้า ต่อนั้นมา การพิจารณากายคสติ กับมรณานุสติ มักจะไปด้วยกัน แต่ในตอนนั้น มันเป็นพรรษาแรก ไหนจะเจริญกรรมฐานบ้าง ไหนจะไปท่องสวดมนต์บ้าง ไหนจะไปดูธรรมะบ้าง ไหนถึงเวลาทำข้อวัตรก็ต้องเบ่งเวลาไปทำ รู้สึกว่าการเจริญกรรมฐานยังได้น้อย

    บางครั้งตัณหา กิเลส มันก็แสดงออกไปภายนอก เพราะไปนึกถึงเรื่องอดีต ที่พ่อ แม่แบ่งนาไว้ให้ แบ่งสวนไว้ให้ แบ่งวัวแบ่งควายไว้ให้ และพ่อก็ไปขอสาวไว้ให้ แม่ก็ไปขอสาวไว้ให้ ถ้าสึกมาเมื่อไร ก็จะได้แต่งงานกัน

    คิดทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องกามวัตถุ เมื่อคิดไปแล้วมันก็คิดทบทวน มาหาคนที่ตาย เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นตาย เขาก็เอา เผาไฟ ไฟก้ไหม้หมด ไหม้หัว ไหม้หน้าตา ที่สวยงามๆ ไหม้แขน ไหม้มือ ไหม้ตัว ไหม้ขา ไหม้แข้ง ไหม้ตีน ไหม้หมด ทั้งหนังเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก แม้แต่ตัวเขา ก็เอาอะไรไม่ได้ มีวัตถุข้าวของเงินทองมากมายได้อะไร ใจรู้ไหม ใจเห็นไหม ใจนี้มันตายไหม ถ้าใจมันตาย ไปด้วยกัน เอาไปเผาหมดทั้งกาย ทั้งใจเห็นจะดี ไม่มีกาย ไม่มีใจแล้ว เห็นจะไม่มี ทุกข์ยากลำบากอะไร แต่ในหนังสือธรรมะ ท่านว่า ใจไม่ตาย กายตาย ใจไปเกิดอีก เป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเรื่องของกรรม ถ้าทำกรรมดี ใจก็ไปเกิดที่ดี ถ้าทำกรรมชั่ว ใจก็ไปเกิดที่ชั่ว

    เมื่อมีความเห็นอย่างนี้ใจก็น้อมไปในการเจริญกรรมฐานมากขึ้น ตายไม่ได้อะไร สึกไปทำไม ถ้าสึกไปเอาเมีย เมียมัน ก็ตาย ตัวเราก็ตาย คนทั้งโลกตายกันทั้งนั้น ไม่มีใครได้อะไร สมบัติเครื่องใช้ในโลกชั่วคราว ดูซิ เศรษฐีมีเงิน ร้อยล้านพัน ล้านตายลง บาทเดียวก็เอาไม่ได้ ในเวลามีชีวิตอยู่ลุ่มหลงมัวเมาหาแต่วัตถุ ข้าวของเงินทอง เมาเสียจนมืด สิ้นบุญกุศล จะให้ทานก็กลัวแต่มันจะหมด เรื่องหมดไม่ชอบ ชอบแต่เรื่องร่ำรวยมั่งมี ยิ่งมียิ่งตระหนี่ขี้เหนียว เศรษฐีบางคนเอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ เอาไปฝังไว้ กลัวลูกหลานเขาจะแย่งเอาไป เวลาตายก็ไปเป็นผี เฝ้าเงินเฝ้าทอง ยิ่งทำโทษหนักให้แก่ตัวเอง เพราะหลงมืดมน ไม่สนใจในธรรมะ จึงไม่รู้จักประโยชน์การใช้เงิน

    ในใจมันหลงมัวเมา ในกิเลสกามและวัตถุกาม จนมืดมนอนธการ หลงบ้านเรา หลงผัวเรา หลงเมียเรา หลงลูกเรา หลงหลานเรา หลงญาติมิตรพี่น้องเรา ใจเมาในสังขารจนตาย ก็ไปเกิดกับสังขารอีก เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันกัปมาแล้ว ยังหลงต่อ ไปในอนาคต
    คนคงจะระลึกได้รู้ใจละมั้ง ไม่ว่าแต่วัตถุข้าวของเงินทองภายนอก ตัวของคุณนี้แหละ ตายจริงๆนะ ถือเอาอะไรเลย ก็ไม่ได้ในาร่างกายนี้ ใช้รอเวลาเท่านั้นแหละ ใจอย่าไปลุ่มหลงมัวเมามันนัก ใจที่ไม่ตายนี้ มีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง

    อริยทรัพย์ สัทธาธนัง ใจมีไหม
    อริยทรัพย์คือศีลธนัง ใจมีไหม
    อริยทรัพย์คือหิริธนัง ในมีไหม
    อริยทรัพย์คือ โอตตัปปธนัง ใจมีไหม
    อริยทรัพย์คือ สุตธนัง ใจมีไหม
    อริยทรัพย์คือ จาคธนัง ใจมีไหม
    อริยทรัพย์คือ ปัญญาธนัง ใจมีไหม

    ถ้าใจมีอริยทรัพย์ท่านเรียกว่า ใจไม่จน

    ถ้ามีโภคทรัพย์ข้าว ของเงินทอง บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา อันเทรัพย์เครื่องใช้ในโลก ใจเอาไม่ได้ ร่างกายตายแล้ว ก็ทิ้งไว้ในโลกทุกคน จะตายกันหมดทุกคน จะไม่ได้อะไร แม้ขันธาตุโลก ก็ทิ้งเอาไว้ในโลก ฉะนั้นท่านผู้รู้จึงเตือนเอาไว้ว่า อย่าประมาทตาย ตายนะ รีบกินรีบใช้ รีบทำบุญ เดี๋ยวตาย อย่าไปมัวอ้างกาล อ้างเวลาอยู่

    ในปีแรกนี้ การศึกษาธรรมะ การเล่าเรียนก็ดำเนินต่อไปเพราะได้คติธรรม คือ มรณานุสติ สอนใจ เมื่ออยู่จำพรรษา วัดป่าคึมชาติ จนออกพรรษาแล้ว ก็ได้กราบลาท่านอาจารย์ ์ไปเยี่ยมโยมบิดา มารดาที่บ้านแฮด ก็ได้พักที่วัดป่า มีหลวงพ่อ อิสสโร ท่านอยู่ที่นั้น เมื่อพักอยู่ที่นั้น ก้ได้ฟังธรรมจากท่าน แนะนำสั่งสอนมีหลายอุบาย แต่อารมณ์กรรมฐาน ท่านใช้ กายคตาสติ กับพุทโธ ใจบริกรรมพุทโธ แล้วพิจารณา ในอาการสามสิบสอง พิจารณาในความเป็นของปฏิกูลบ้าง พิจารณาความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาบ้าง

    ครั้นอยู่ต่อมา ท่านก็เป็นโรคเท้าบวม หลังเท้าของท่านบวมเป็นหนอง เดินไปมาลำบาก การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะต้องใช้กระโถน ญาติโยมช่วยหายามารักษา ท่านทั้งยาทา ทั้งยากิน ทั้งยาประคบ แต่อาการไม่ทุเลา อาการบวมพองกลัดหนองข้างใน ฉันก็ไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เราก็ได้เฝ้าดูแลการรักษาพยาบาลท่าน มาในคืนหนึ่ง ปรากฏอาการเจ็บปวดรุนแรงมาก เราก็เอายาทาให้และช่วยตักเตือนท่าน ให้ระลึกพุทโธ และเตือนท่านให้ละความยึดมั่นถือ มั่น บางครั้งเราก็เป่าให้ท่าน แต่รู้สึกว่า อาการของ โรครุนแรงมาก เท้าที่แตก หนองไหลออกมา แทนที่ว่าอาการจะเบาลง กลับกำเริบแรงกล้า จนถึงท่านสิ้นลมหายใจตายลงในคืนนั้นเอง

    พระเณรที่เฝ้าอยู่และญาติโยมได้เห็นก็เกิดสังเวชสลดใจ จนถึงเวลาเช้า ก็ไปบอกญาติโยม ทางในบ้าน และส่งข่าวไปถึง ท่านอาจารย์สีโห ท่านก็ได้พาพระเณร มาจากวัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ เมื่อท่านมาแล้วก็ได้บอกให้โยมทำหีบ เมื่อทำ เสร็จแล้ว ก็เอาขึ้นมาที่ศาลา เพราะท่านพักอยู่ศาลา ทำพิธีรดน้ำศพแล้วก็เอาศพของท่านบรรจุลงในหีบ ทำพิธีสวดมติกา และชักอนิจจา ต่อมาเมื่อคณะสงฆ์มีท่านอาจารย์สีโห เป็นประธาน พร้อมพระเณร ญาติโยม ก็ได้พากันทำฌาปกิจ ที่วัดนั่นเอง เวลาจูงศพท่านไปขึ้นเชิงตะกอน แล้วทำพิธีชักผ้าบังสุกุลเสร็จ ก็พากันใส่ดอกไม้จันทน์แล้วก็เผาที่นั่นเอง

    ขณะที่เผาศพของท่าน ก็ได้ยืนดูพิจารณาไฟที่ไหม้ ไหม้กระดาษ ไหม้โลงพังออก เห็นตัวท่านไฟไหม้ผ้าจีวรที่คลุม ไหม้สบง ไหม้อังสะ ไหม้หัว ไหม้หน้า ไหม้ตา ไหม้หู ไหม้จมูก ไหม้ปากและไหม้ลำคอ ไหม้แขน ไหม้มือ ไฟไหม้อก ไฟ ไหม้ลำตัว ไฟไหม้หลัง ไฟไหม้สีข้างทั้งสอง ไฟไหม้ท้อง ไฟไหม้ขา ไฟไหม้แข้ง ไฟไหม้หนัง แล้วก็ไหม้เนื้อ ไหม้เข้าไปใน เส้น ไหม้ม้าม ไหม้เนื้อหัวใจ ไหม้ตับ ไหม้ไต ไหม้ไส้พุง มีเลือด น้ำเหลืองหลั่งไหลออกมา ไฟก้ไหม้ไปจนหมดเหลือแต่ กระดูกขาว กองอยู่ ปนกับถ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2022
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    นี้แลหนอจุดจบของร่างกาย ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ตายแล้วไม่เผาก็ฝัง มองเห้นเด่นชัดว่า ตายไม่ได้อะไร จบลงแค่ตาย จบลงแค่เผา แค่ฝัง หมดทุกข์ เรื่องบริหารร่างกาย ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ ไม่ต้องทำงานทำการ ข้าวของเงินทอง บางคนหา ไว้เยอะ เมื่อยังไม่ตาย เมื่อตายแล้ว เอาอะไรไม่ได้ ฉะนั้นนักปราชญ์บัณฑิต จึงเตือนให้ระลึกถึงบุญ ตรวจตรองบุญว่า บุญ บารมีเราพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอ ให้รีบทำนะ เดี๋ยวตาย จะเสียใจว่า ไม่ได้ทำบุญ ผู้จะรับผลบุญผลบาป ก็คือใจที่ไม่ตาย เมื่อ พิจารณาเขาก็มาพิจาณาเราตายเหมือนกัน ล่วงพ้นความตายไม่ได้ ก่อนความตายมาถึง ต้องรวบรวมบุญ กุศลมรรคผล ให้ถึงพร้อมภายในใจ

    เมื่อเสร็จสิ้นการทำฌาปนกิจเศษอัฐิธาตุของท่านแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งสุดท้าย อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ ท่านอีก ครั้นต่อมา พระเณรครูบาอาจารย์ที่ท่านมาในงาน ท่านกลับไปวัดท่านยังเหลืออยุ่สามรูป ก็มีแต่พระบวชใหม่ เพิ่ง ได้พรรษาเดียว จิตใจก็หว้าเหว่ นึกหาครูบาอาจารย์อีก เพราะตนยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็คิดจะลาญาติ โยมไปจังหวัดอุดร จึงได้ไปหาโยมบิดา เล่าความประสงค์ให้ท่านฟัง โยมบิดา บอกว่าจะเอานาไว้ให้ จะเอาสวนให้ จะเอา วัวให้ จะเอาควายให้ ถ้าสึกออกมา ก็จะหาภรรยาให้ จะมอบทรัพย์สมบัติให้ ก็เลยพูดกับท่านว่า พ่อ ไม่ต้องห่วงอาตมา ถ้า อาตมาอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา จะหาเอาเอง ถ้าหาเอาเองไม่ได้ จะพามันกินดิน ได้พูดกับท่านอย่างนี้ และได้บอกท่านว่า เอาขายเสียให้หมด แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเองก็ให้ออกบวชเสีย

    เมื่ออาตมาพูดท่านก็ฟัง แล้วท่านก็พูดออกมาว่า จะขายให้หมดแล้ว จะออกบวช เมื่อได้พูดปรับเความเข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ลาท่าน พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟบ้านแฮด อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปอุดร ไปขอจำพรรษาที่วัดทิพยรัตน์ มีท่านอาจารย์ฐิน เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจำพรรษาที่วัดทิพย์รัตน์ ก็ได้เรียนนักธรรมโท และท่องสวดมนต์แปลด้วย และได้ท่องปฏิโมกข์ด้วย จนออกพรรษาได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่หนองวัวซอ จึงคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่าน เพื่อขอฟังธรรมคำสั่ง สอน จึงได้ไปขออนุญาติท่านอาจารย์ฐิน ก็เลยเตรียมเอาบริขารของตน ลาท่านเดินทางไป

    เมื่อถึงวัดบ้านเล่า ท่านอาจารย์แพท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็เลยพูดให้ฟัง ว่าหลวงปู่ชอบ ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ไม่ทัน ก็เลยลาท่านอาจารย์กลับมาวัดทิพย์อีก จนรับกฐินเสร็จ ก็ได้ลาท่านอาจารย์ฐิน บอกท่านว่า จะไปเชียงใหม่ เพื่อตาม หาหลวงปู่ชอบ ก็ได้ออกเดินทาง ผ่านบ้านตาดไปอำเภอผือ ไปขอพักที่วัดป่าอำเภอผือ มีอาจารย์บุญมา อยู่ที่นั่น เริ่มสวดปาฏิโมกข์ ครั้งแรกที่วัดป่า อำเภอผือนั้น

    ครั้นวันหลังต่อมา ก็ได้ลาอาจารย์บุญมา ออกเดินทางไปพักวัดบ้านค้อ มีอาจารย์คำมีอยู่ที่นั่น ได้พักที่วัดป่าบ้านค้อ หลายวัน ต่อมาก็ได้ลาอาจารย์คำมี เดินทางต่อไป พักที่พระบาทบัวบก ต่อมาก็ย้ายไปพักที่ถ้าพระนาผักหอก พักภาวนาอยู่ที่ นั่นหลายวัน ต่อมาก็ได้ไป พักที่บ้านคึมสะโนด มีบ้านสามหลัง ตอนในพรรษา หลวงปู่หล้า ท่านได้จำพรรษาที่นั้น เมื่อ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาหลวง ก็คิดจะไปกราบนมัสการ เพื่อขอฟังธรรม ข้อปฏิบัติจากท่าน ต่อมาก็ได้ลา โยมที่นั่นเดินทางไปพักที่บ้านน้ำซึม ต่อมาก้ได้ไปพักที่บ้านนาเก็น โยมบ้านนาเก็นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น คนหนึ่งชื่อผู้ใหญ่เหี่ยว ไปเห็นที่ไร่ที่นาดี ก็เลยสึกมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

    ก็ได้พักภาวนาอยู่ใกล้บ้านนาเก็น เขาไปทำที่พักให้ข้างทางช้าง ช้างออกจาดงมาก็มากินน้ำ สมัยนั้นสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ช้าง เสือ กวาง ฟาน หมู ไก่ป่า อย่างนี้ชุกชุม โยมเขาทำที่พักข้างทางช้าง เขาจะลองดูว่าอาตมาจะกลัวไหม บุญรักษาอาตมา ก็มีคำว่าบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เท่านี้เป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ แต่ปรากฏว่าช้างไม่ลงมากินน้ำ ช่วงที่อาตมาพักภาวนา อยู่ที่นั้น พักภาวนาอยู่หลายวัน ก็เลยลาโยม เดินทางไปบ้านสว่าง ที่วัดป่าบ้านสว่างนั้น มีหลวงปู่จันทร์อยู่ หลวงปู่จันทร์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น พักภาวนาอยู่กับท่านหลายวัน เลยขอให้โยมเขาพาไปหาหลวงปู่หล้า ที่ถ้ำพระนาหลวง ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำผาตัก ขอให้โยมไปส่ง เขาไม่รู้จักก็เลยไม่ได้พบหลวงปู่หล้า จึงได้กลับมาพักที่วัดป่าบ้านสว่างอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2022
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    -วัดถ้ำผาผึ้ง.jpg
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    เมตตาเสด็จทรงเป็นองค์ประธานในพิธีฉลองอุโบสถ วัดถ้ำผาผึ้ง บ้านถ้ำผาผึ้ง ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ โดยมี “พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร” (องค์ขวาสุด)
    และหลวงปู่ทองบัว ตนฺติกโร ตลอดจนคณะพระภิกษุมาร่วมกันถวายการต้อนรับ

    ต่อมาได้ลาหลวงปู่จันทร์ เดินทางผ่านบ้านปากลาง เดินทางผ่านดงปากเจียง ในดงนนี้มีช้างมาก มีช้างสีดอตัวหนึ่ง ไม่กลัวคน เห็นคนมันจะไล่ โยมเขาบอกว่า ครูบาเดินผ่านดงนี้ ให้ระวังช้าง ถ้าเห็นช้างหมู่ให้เป่ามือ มันจะแตกหนีไป ถ้าเห็นช้างสีดอ ให้หลบให้ดีมันจะไล่ เราก็มีของดีคือ พุทโธ ไม่ต้องกลัว พุทโธป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง เดินไปจนเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่า จึงข้ามพ้นจากดง ไปถึงบ้านหนอง บ้านนี้อยู่ฝั่งโขง ก็เดินผ่านบ้านหนองไปใกล้จะถึงบ้านหาดเบี้ย จึงพักปักกลด นอนจนถึงรุ่งเช้า บิณฑบาตบ้านหาดเบี้ย โยมใส่บาตรดีเหลือเกิน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อฉันแล้วล้างบาตร เช็ด บาตรแห้งดีแล้ว ก็เอาผ้าครอง สิ่งของเอาใส่ในบาตร เตรียมเดินทางต่อไป

    จำพรรษาที่ลำปาง คือ วัดป่าสำราญนิวาส เกาะคา ลำปาง ขณะที่ท่านนั่งทำสมาธิอยู่นั้น มีคนวิกลจริตเดินเข้ามาในวัด ถือมีดมาไล่ฟันคนในวัด ผู้คนแตกตื่นกันหมด ยิ่งไปกว่านั้น คนวิกลจริตผู้นั้นวิ่งตรงเข้าไปหาโยมแม่ของท่าน ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านได้ยินเสียงอึกทึกจึงออกมาดู ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นในวัด คนวิกลจริตผู้นั้นวิ่งเข้าไปที่กุฏิโยมแม่ของท่าน แล้วเงื้อมีดฟันลงที่คอโยมแม่เกือบขาด โยมแม่สิ้นใจต่อหน้าของท่าน ขณะที่เข้าไปช่วย ปรากฏว่า เมื่อภาพอันเสียดแทงใจทำลายจิตใจของมนุษย์ปุถุชนอย่างรุนแรง เมื่อท่านเห็นแล้วท่านพิจารณาและหันหลังกลับไปที่กุฏิของท่าน ภาวนาเพื่อดับความสลดสังเวชอย่างสงบ

    เมื่อเริ่มแรกที่ท่านมาสร้างวัดถ้ำผาผึ้งใหม่ๆ ท่านต้องระเบิดหินเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างวัด และทางเดิน ท่านไม่ได้ใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง แต่ท่านใช้ไดนาไมต์มาระเบิดหิน พอวางชนวนเสร็จท่านก็เดินออกไป

    น่าแปลกใจ ระเบิดไม่ทำงานสักที ท่านจึงเดินไปดู พระเณรที่อยู่ด้วยก็เฉย ไม่ไปด้วย คิดว่าไม่มีอะไร แต่เมื่อท่านเดินไปถึงจุดฝังไดนาไมต์ ระเบิดก็ทำงานทันที เสียงระเบิดดังบึ้มๆๆ สนั่นหวั่นไหว ฝุ่นฟุ้งตลบเป็นวงกว้าง พระเณรต่างตาลีตาเหลือกมองหน้ากัน ท่านเดินออกมาเอามือปัดอังสะสองสามที ไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย

    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ผู้ที่ได้รับฉายาจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า “พระอรหันต์ผู้ประเสริฐดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ
    หลวงปู่ชอบท่านเล่าเรื่องหลวงปู่บุญจันทร์วัดถ้ำผาผึ้งเชียงใหม่ให้ฟัง ท่านบอก ท่านบุญจันทร์เป็นลูกศิษย์เราอีกองค์หนึ่งที่รู้ธรรมเร็วตั้งแต่พรรษาเจ็ด เราอยู่บ้านหนองอ้อกับท่านอาจารย์ขาว

    เรานิมิตเห็นช้างเผือกมาหมอบลงต่อหน้าเอาดอกไม้ธูปเทียนถวายเรา เราพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ขาวฟัง อาจารย์ขาวท่านบอกอาจารย์ชอบจะได้ช้างเผือกมาเลี้ยงอีกเชือกหนึ่ง..

    ไม่กี่วันท่านบุญจันทร์ก็มาหาเรา ตอนค่ำวันนั้นเราเดินจงกรมอยู่ข้างที่พักเห็นท่านบุญจันทร์แบกบาตรสะพายกลดเข้ามาหา ท่านถามเราว่าอาจารย์ อาจารย์ชอบท่านพักอยู่นี่บ่ เราก็บอกเรานี่แหละคืออาจารย์ชอบ ท่านบุญจันทร์คุกเข่าลงพนมมือไหว้เรา..

    เราถามไปจั่งใด๋มาจั่งใด๋ถึงได้มาหาเราถึงที่นี่ ท่านบุญจันทร์บอกข้าน้อยมาจากเมืองขอนแก่นตั้งใจจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์อ่อนบอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาพักอยู่ที่นี่ข้าน้อยเลยตามมาหา ตอนท่านจันทร์มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรา ท่านจันทร์พรรษาสี่(หน้าหนาวต้นปี ๒๔๙๔)..

    ท่านจันทร์เล่าเรื่องภาวนาให้เราฟัง จิตท่านจันทร์สว่างนิ่งมาสามสี่ปีหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะออกจากอาการที่จิตเป็นแบบนี้ได้..
    เราบอกนี่จิตท่านมันเป็นสมถะเต็มภูมินะ จิตเป็นแบบนี้ยังไม่พ้นทุกข์ ภูมิชั้นนี้ยังเป็นภูมิโลกไม่ใช่ภูมิพระ ภูมิแบบนี้ฤษีชีไพรก็เป็นได้เหมือนกัน เราก็บอกท่านจันทร์ให้ถอนจิตออกมาจากชั้นอัปปนาสมาธิ

    ให้ทรงจิตอยู่กึ่งกลางระหว่างอัปปนากับอุปจาระ หมุนจิตเข้ามาพิจารณาในกายของตน พิจารณากายส่วนไหนก็ได้ตามที่นิสัยของจิตมันชอบ ให้พิจารณาเข้าออกๆอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตมันจะชำนิชำนาญแตกฉานในอสุภกรรมฐาน..

    จิตท่านจันทร์จะชำนาญในการพิจารณากระดูก ท่านจันทร์พิจารณากระดูกจนแตกละเอียดอยู่ถ้ำปากเปียงเชียงใหม่ ท่านจันทร์ถามเราว่า

    ข้าน้อยพิจารณากระดูกจนแหลกป่นปี้หมดแล้ว

    เราก็ถามว่าได้กำหนดตั้งรูปมันขึ้นมาพิจารณาอีกบ่

    ท่านจันทร์บอกข้าน้อยกำหนดขึ้นมาเป็นรูปได้ พอจะพิจารณากระดูกทั้งหลายก็แตกสลายป่นปี้ไปหมด มันจะพังพาบๆอยู่อย่างนี้..

    เราบอกท่านจันทร์ ท่านพ้นกามในสิ่งที่เป็นของหยาบไปได้แล้ว ถึงท่านจะกำหนดรูปขึ้นมาได้ พอเดินปัญญาเข้าไป สิ่งเหล่านี้ก็จะพังพาบลงทันที เพราะจิตมันขาดกันไปแล้วกับธรรมส่วนที่เป็นของหยาบ จิตท่านพ้นจากรูปธรรมที่เป็นของหยาบไปแล้ว ต่อไปให้พิจารณาในส่วนที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นของละเอียด..

    ให้ท่านจับเงื่อนเวทนาเข้าไปให้เห็นสัญญา พิจารณาสัญญาเข้าไปให้เห็นสังขาร พิจารณาสังขารเข้าไปให้เห็นวิญญาณ พิจารณาวิญญาณเข้าไปให้เห็นอวิชชาปัจยการ เมื่อเห็นอวิชชาปัจยการแล้ว ทุกอย่างมันจะถูกมหาสติมหาปัญญาทำลายลงไปทั้งหมด จิตจะเป็นธรรมธาตุยิ่งใหญ่..

    ถึงตอนนั้นท่านบ่ต้องไปถามใครอีกแล้วว่าท่านเป็นอะไร..

    หลังจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบให้อุบายธรรมแก่ หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านก็มาพักอยู่ที่สำนักสงฆ์ห้วยน้ำริน หลวงปู่บุญจันทร์ท่านรับเอาอุบายธรรมจากองค์ท่านหลวงปู่ชอบไปปฏิบัติ

    หลวงปู่บุญจันทร์ท่านพิจารณาในนามธรรมซึ่งเป็นธรรมอันละเอียดอ่อนอยู่ห้าหกเดือน..

    หลวงปู่บุญจันทร์ ท่านก็บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ “ฉฬภิญโญ” เมื่อปีพุทธศักราช พ.ศ.๒๔๙๖ ที่ วัดถ้ำปากเปียง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่..

    เรื่องนี้หลวงปู่ชอบท่านย้ำให้บันทึกไว้ ท่านบอกต่อไปถ้าเราตายไปแล้วท่านจะถามใครไม่ได้อีกในเรื่องภาคปฏิบัติ..
    ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๖ ที่ห้องพักหลวงปู่ชอบศาลาบำเพ็ญกุศลวัดป่าโคกมน

    -จนฺทวโร.jpg
    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๓ สิริอายุ ๗๔ ปี

    หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านเป็นพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งที่อัฐิ, เกศา เป็นพระธาตุเฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ปฏิปทาของหลวงพ่อบุญจันทร์ ท่านมุ่งเน้นไปในทางอบรมสั่งสอนธรรมะให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมที่มากราบนมัสการเป็นสำคัญ

    -จนฺทวโร-แปรสภาพจากเถ้าอังคาร.jpg
    พระธาตุหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร แปรสภาพจากเถ้าอังคาร
    -จนฺทวโร-กำลังแปรสภาพเป็นพระธาตุ.jpg
    อัฐิธาตุหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร กำลังแปรสภาพเป็นพระธาตุ
    -จนฺทวโร-กำลังแปรสภาพเป็นพระธาตุ.jpg
    เกศาหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร กำลังแปรสภาพเป็นพระธาตุ

    :- https://www.108prageji.com/หลวงปู่บุญจันทร์-จันทวโ/
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ลูกเป็นเทวดา แต่พ่อแม่เป็นเปรต

    thamnu onprasert
    344,598 views Nov 4, 2021
    เรื่องราวของพ่อแม่ลูก ๕ คนครอบครัวเดียวกัน ตายพร้อมกัน ลูกได้ไปเกิดเป็นเทวดาทั้ง ๓ คน แต่พ่อและแม่กลับได้เกิดเป็นเปรต! น่าเวทนา..
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เนื้อต้องห้ามของพระภิกษุ

    หลวงตา

    30,014 views Jan 31, 2022
     
  21. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงพ่อชา แสดงปาฏิหาริย์ เนรมิตกายออกไปรับโยมที่ไม่เคยมาวัด// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    14,351 views Feb 5, 2022
    ครูคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง แกจึงอาฆาตพยาบาทคนที่กล่าวหานั้นถึงขั้นคิดจะฆ่าให้ตาย เดชะบุญภรรยาของแก ได้พาแกไปกราบหลวงพ่อชาที่วัดหนองป่าพง แกได้พบเจอกับปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชาเต็มๆ จึงคลายความพยาบาทนั้นลง และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อชา..
     

แชร์หน้านี้

Loading...