หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ประวัติหลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน วัดหนองจอก
    longpoyid1.jpg
    ประวัติ พระครูนิยุตธรรมสุนทร (หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน)

    พระครูนิยุตธรรมสุนทร มีนามเดิมว่า ยิด นามสกุล สีดอกบวบ เกิดที่บ้านดอนหัวกรวด ตำบลนาพันสาม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จากใบสุทธิระบุว่าท่านกำเนิดเมื่อวันที่อังคาร ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2467 แต่จากปากคำของท่านเล่าว่า ท่านเกิดวันจันทร์ ปีชวด พ.ศ. 2460 โยมบิดาชื่อ แก้ว โยมมารดาชื่อ พร้อย มีพี่น้องรวม 7 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 4

    ในวัยเยาว์ โยมบิดา-มารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม ที่มีศักดิ์เป็นน้าของท่าน จนมีอายุได้ 9 ขวบ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนาพรม โดยมีหลวงพ่อหวล เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาอักขระสมัย อักขระขอม เลขยันต์ และแพทย์แผนโบราณ ภายหลังหลวงพ่อหวลได้พาไปฝากศึกษาต่อกับ หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน
    พออายุได้ 14 ปี ท่านได้ลาสิกขาบทออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาประกอบอาชีพ เพราะครอบครัวย้ายไปประกอบอาชีพที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะนั้นครอบครัวของท่านมีความลำบากยากจน ท่านจึงต้องช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ....
    อายุได้ 20 ปี จึงได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดนาพรม โดยมี หลวงพ่ออินทร์ วัดยาง (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา จนฺทสุวณฺโณ แปลว่า ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์

    ขณะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ต่อมาโยมบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านจึงลาสิกขาเพื่อกลับไปดูแลโยมมารดาและครอบครัว ภายหลังท่านได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางธิต มีบุตรด้วยกัน
    แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ทางธรรมและเห็นว่าบุตรของท่านเติบใหญ่เลี้ยงตนเอง ได้ ครอบครัวอยู่กินได้อย่างไม่เดือนร้อน ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดเกาะหลัก อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2517 และได้ไปจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี

    ต่อมาได้มีผู้จิตศรัทธา 2 ท่าน คือ นางวง บุญมา และนางเอื้อน เกตุงาม มีความเคารพเลื่อมใสหลวงพ่อยิดเป็นอันมาก จึงได้ถวายที่ดินจำนวน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ที่เลขที่ 67 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนยายหนู อำเภอกุยบุรี เพื่อให้หลวงพ่อยิดไปจำพรรษา กอปรกับหลวงพ่อยิดมีความคิดเห็นว่าญาติโยมในบริเวณนั้นต้องเดินทางไปทำบุญ ไกล ท่านจึงตัดสินใจสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 โดยให้ชื่อว่า สำนักสงฆ์พุทธไตรรัตน์

    แรกๆ หลวงพ่อยิดปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ เป็นที่อาศัย ท่านค่อยๆ ถากถางเรื่อยไป จนพื้นที่ที่เคยรกดูสะอาดเป็นสัดส่วนขึ้นตามลำดับ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ เมื่อทราบข่าวของท่าน จึงมาช่วยกันพัฒนาจนเป็นรูปเป็นร่าง และได้ขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527 และได้รับอนุญาตให้ตั้งชื่อว่า วัดหนองจอก โดยใช้ชื่อของท้องถิ่นเป็นชื่อวัด ในปี พ.ศ. 2528


    longpoyid.jpg longpoyid5.jpg longpoyid7.jpg

    งานสาธารณประโยชน์
    - สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดดอนยาง อำเภอประทิว จังหวัดชุมพร
    - สร้างศาลาอนามัยที่บ้านเขาแดง
    - ร่วมสร้างที่ว่าการอำเภอกุยบุรี
    - ร่วมสร้างอาคารโรงเรียนดอนกลาง
    - มอบรถฉุกเฉินรถตู้ พร้อมอุปกรณ์สื่อสารให้กับสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุยบุรี
    พ.ศ. 2535 ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูนยุตธรรมสุนทร

    หลวงพ่อยิด เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์เลื่องลือเป็นที่โจษขานมาตั้ง แต่ท่่านยังเป็นหนุ่ม ท่านศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมหลายแขนงจากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม (วัดประดิษฐนาราม) หลวงตาพูล วัดนาพรม และหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง รวมทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณ

    ชื่อเสียงของหลวงพ่อยิดเป็นที่รู้จักเพราะวัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างและปลุกเสก มีลูกศิษย์นำไปบูชาล้วนแต่มีประสบการณ์ เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากมาย ทำให้ท่านเป็นที่เคารพศรัทธามากขึ้นเป็นทวีคูณ

    วัตถุมงคลของหลวงพ่อยิดทุกๆ รุ่น ถ้าผ่านการปลุกเสกแล้วเชื่อได้เลยว่าดีแน่ ประชาชนทั่วไปจะรู้จักท่านเกี่ยวกับ ปลัดขิก เพราะท่านสามารถปลุกเสกปลักขิกลุกตั้งได้สามารถพิสูจน์ได้ จึงทำให้ท่านโด่งดังมาก และยิ่งได้มาพบมารู้จักท่านก็ยิ่งเลื่อมใสศรัทธา สำหรับปลัดขิกที่ผ่านการปลุกเสกจากท่าน มีรายละเอียดดังนี้
    1. ไม่มีคาถากำกับ
    2. การค้าขาย ใช้เอาไปทิ่มกับของที่ขาย ไม่นานจะเห็นผลและจะค้าขายดีอย่างเทน้ำเทท่า
    3. งูมีพิษจะอ้าปากไม่ขึ้นถ้าเราเหยียบ หรือนอนทับงูจะตาย
    4. เรื่องแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ตะขาบ แตน ต่อ แมงป่อง เอาไปวนบริเวณที่ถูกกัดต่อยจะหายเป็นปลิดทิ้ง
    ประสบการณ์ปลัดขิก
    พ.อ.อ.ศักดิ์ชัย ทรงโกมล สังกัด กองบิน 5 ประจวบฯ เล่าว่าลูกชายของเขาตอนอายุประมาณ 11 ขวบ ถูกต่อหัวเสือ 3 ตัว ต่อยเข้าที่ศีรษะ ร้องด้วยความเจ็บปวด จึงนึกถึงหลวงพ่อยิด จึงนำปลัดขิกของหลวงพ่อยิดขึ้นมาอาราธนาแล้วจิ้มลงไปที่บริเวณที่โดนต่อย ปรากฏว่าลูกชายหายปวดและหยุดร้องได้

    นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าคนจีนทำอัญมณีส่งต่งประเทศ เมื่อส่งของไปแล้วถูกส่งกลับคืนมาอ้างว่าของไม่มีคุณภาพ พ่อค้าท่านนี้กลุ้มใจมาก มีคนนำไปหาหลวงพ่อยิด ท่านจึงมอบปลัดขิกและบอกให้นำไปทิ่มที่ของซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ถูกส่งกลับ คืน แล้วส่งไปอีกครั้ง ปรากฏว่าทางต่างประเทศชมมาว่าของชุดนี้ถูกใจมาก

    หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืด
    เป็นที่รู้กันของชาว บ้านในแถบทุ่งน้อยและเขาแดงว่า หลวงพ่อยิดเสกน้ำทะเลจืดได้ จากปากคำของคุณวิเชียน อ่วมอ้อ เล่าว่า เมื่อครั้งหลวงพ่อยิดเป็นฆราวาส คุณวิเชียรยังมีอายุได้ 17 ปี ได้ตามหลวงพ่อยิดออกทะเลจับปลา จึงเตรียมน้ำจืดไปไว้ดื่มแต่ไม่เห็นหลวงพ่อยิดเตรียมน้ำไปด้วย ขณะพักกินข้าวกลางวันเห็นหลวงพ่อยิดเอามือกอบน้ำทะเลดื่ม จึงลองดื่มบ้างปรากฏว่า เค็ม บ้วนทิ้งแทบไม่ทัน หลวงพ่อยิดมองแล้วอมยิ้ม จากนั้นท่านจึงเอามือวนในน้ำทะเลเป็นวงกลม แล้วให้คุณวิเชียนเอามือกอบน้ำในวงกลมดื่ม ปรากฏว่าน้ำนั้นไม่เค็มเหมือนน้ำทะเลแต่จืดเหมือนน้ำบ่อ

    หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง
    หลวงพ่อยิด เรียนคาถาเลขยันต์จากอาจารย์ของท่าน อาจารย์บอกว่าตะจ้องรับสัจจะว่าจะอาบน้ำ (สมัยฆราวาส) ปีละครั้ง ท่านก็รับปากอาจารย์จึงสอนวิชาให้ เมื่อท่านเรียนวิชาจบแล้วท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวชเป็นพระท่านก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาในเดือน 4 วันอาทิตย์แรกของข้างแรม
    หลวงพ่อยิดสรงน้ำปีละครั้ง ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บไม่ระคายผิวหลังท่านเลย


    วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 หลวงพ่อยิดเกิดอาพาธ ปัจจุบันทันด่วน ด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก และได้เข้ารักษาตัวห้อง I.C.U โรงพยาบาบตำรวจและมรณภาพลงด้วยอาการสงบในวันที่ 31 กรกฏาคม พ.ศ. 2538 เวลา 03.50 น. คณะศิษย์ได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว และได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 เวลา 14.00 น. ณ เมรุวัดหนองจอก

    ขอบพระคุณที่มา :- http://www.luangphoryid.com/index.php?mode=about-us
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2022
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อาจารย์ยอด : หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ สอนวิชา [พระ]

    อาจารย์ยอด
    Jan 17, 2022
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงพ่อสุ่น-วัดบางปลาหมอ-อ.บางบาล-จ.พระนครศรีอยุธยา.jpg
    หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    หลวงพ่อสุ่นพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระผู้เป็นพระอาจารย์สองพระเกจิ
    อาจารย์ชื่อดังคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ทั้งสองพระเกจิอาจารย์จัดว่าเป็นสุดยอดพระอาจารย์ดัง
    ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเลยทีเดียว

    หลวงพ่อสุ่นถึงแม้ชื่อเสียงท่านจะไม่โด่งดังเท่ากับศิษย์รักทั้ง 2 รูปที่กล่าวมานั้น แต่ในตัวหลวงพ่อเองจัดว่าเป็นพระอาจารย์ที่สำเร็จกรรมฐาน เป็นพระหมอยาที่มีชื่อเสียงมาก เมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ ชาวอำเภอเสนา อำเภอบางบาล บางไทร และใกล้เคียงต่างก็เคารพรักศรัทธาในตัวท่านมาก

    ประวัติหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอนั้น แทบจะหารายละเอียดไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะว่าสมัยท่านไม่มีใครบันทึกเรื่องราวเอาไว้ และผู้ที่พอจะรู้เรื่องของหลวงพ่อบ้างต่างก็เสียชีวิตกันหมดแล้ว จึงเป็นที่น่าเสียดายมากสำหรับชีวประวัติ เรื่องราวของพระอาจารย์ดังที่เก่งในด้านวิชาอาคมต่างๆ ไม่มีการเล่าขานให้กระจ่างชัดเท่าที่ควร

    หลวงพ่อสุ่น เป็นสมภารปกครองวัดบางปลาหมออยู่นานพอสมควร อันว่าวัดบางปลาหมอนั้น ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยทางด้านทิศเหนือ อยู่ในท้องที่หมู่ 6 ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางบาลประมาณ 15 กิโลเมตร ใกล้กับค่ายสีกุกหรือวัดสีกุก ซึ่งครั้งหนึ่งในสมัยที่กรุงศรีอยุธยายังทำศึกกับพม่า พระเจ้าหงสาวดีได้แบ่งกำลังส่วนหนึ่งยกเข้ามาตั้งค่ายที่สีกุก เพื่อล้อมกรุงศรีอยุธยาเอาไว้แล้วเข้าโจมตีภายหลัง

    เขตวัดบางปลาหมอขึ้นอยู่กับอำเภอบางบาล เป็นเขตแดนติดต่อกับตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดบางปลาหมอในอดีตเคยเป็นวัดที่รุ่งเรืองมาก่อน เพราะหลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระแก่กล้าทางวิทยาคมกอปรด้วยความเมตตา ท่านยังเป็นพระหมอช่วยผู้ที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยให้พ้นทุกข์เวทนา อีกทั้งท่านยังเป็นพระนักพัฒนาทำนุบำรุงเสนาสนะหมู่กุฏิสงฆ์ให้เจริญรุ่งเรืองทางถาวรวัตถุอีกด้วย เหตุนี้จึงมีผู้ให้ความเคารพนับถือท่านมาก นัยว่ามีเจ้านายจากกรุงเทพฯ เคยมาพักที่วัดให้ท่านรักษาโรคด้วย

    วัดบางปลาหมอสร้างขึ้นเมื่อใดใครเป็นผู้สร้างไม่ปรากฏหลักฐาน สันนิษฐานว่าคงสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนที่ได้ชื่อว่า “วัดบางปลาหมอ” นั้น สมัยก่อนมักนิยมเรียกขานชื่อหมู่บ้านตามภูมิประเทศ และสิ่งแวดล้อมละแวกนั้น ที่หมู่บ้านบางปลาหมอเป็นพื้นที่ลาดลุ่มน้ำท่วมถึง เข้าใจว่าคงจะมีปลาหมอมากกว่าปลาชนิดอื่นๆ ชาว- บ้านจึงเรียกชื่อสภาพแวดล้อมตามที่เป็นอยู่ว่า “บ้านบางปลาหมอ”



    มีผู้ใหญ่เล่าสืบต่อกันมาว่า “มีชาวบ้านบางปลาหมอทูลเกล้าฯ ถวายต้มปลาหมอแก่ในหลวงฯ” แต่ไม่ทราบว่ารัชกาลใด เมื่อมีการสร้างวัดขึ้นมา จึงใช้ชื่อตามหมู่บ้านเรียกขานกันว่า “วัดบางปลาหมอ” สภาพของวัดเริ่มแรกเข้าใจว่าพอจะเป็นที่บำเพ็ญกุศลในทางศาสนาได้เท่านั้น แล้วมาต่อเติมภายหลังจนเป็นวัดที่รุ่งเรืองมาทุกวันนี้

    สำหรับหลวงพ่อสุ่นนั้นไม่ทราบว่าท่านมาจากไหน เพราะไม่มีหลักฐานหรือคำบอกเล่าปรากฏเลย และจากการลำดับเจ้าอาวาสของวัดเท่าที่ทราบ ก็มีหลวงพ่อสุ่นเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก แต่ก่อนหน้านี้จะมีเจ้าอาวาสก่อนหลวงพ่อสุ่นอีกหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ลำดับเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อสุ่นก็มีหลวงพ่อจ้อย, เจ้าอธิการเชื้อ, พระอธิการณรงค์, พระครูสิริพัฒนกิจ จากวัดโคกเสือ มารักษาการเจ้าอาวาสอยู่พักหนึ่ง สมัยที่ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสังฆรักษ์สงุ่น ต่อมาก็เป็นพระอธิการอู๋, พระครูโกวิทวิหารการ (ประยุทธ ชินวัฒน์) เป็นเจ้าอาวาสมาจนปัจจุบันนี้

    หลวงพ่อสุ่น เป็นพระวิปัสสนากรรมฐานผู้ทรงอภิญญา มีวิชาอาคมไสยเวทย์เปี่ยมล้น นอกจากนี้ยังเป็นพระหมอรักษาไข้ ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่สาธุชนทั่วไปอีกด้วย ปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อสุ่น ที่ปรากฏและเล่าสืบต่อกันมามีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน จากบันทึกของ “พระราชพรหมญาณ” หรือ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้บันทึกไว้ว่า “หลวงพ่อสุ่นเป็นพระอุปัชฌาย์หลวงพ่อปาน ครั้นหลวงพ่อปานบวชแล้วก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อสุ่น ที่วัดบาง- ปลาหมอ เพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จากพระอาจารย์ ซึ่งหลวงพ่อสุ่นเองก็รักใคร่ ในตัวของหลวงพ่อปาน ถ่ายทอดวิชาอาคม ต่างๆ ให้” หลวงพ่อปานนั้น มีความรักอยากจะเรียนทางหมอรักษาคนไข้ แต่หลวงพ่อสุ่นอยากให้ศิษย์รักรับวิชาอาคมต่างๆ เอาไว้ด้วย ดังนั้นการเรียนการสอนจึงมีทั้งไสยเวทย์และทางหมอยาควบคู่กันไปด้วย

    หลวงพ่อสุ่นท่านสำเร็จทางด้านกสิณ ท่านก็ให้หลวงพ่อปานเรียนกสิณให้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อปานท่านก็ตั้งใจมานะศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์จนสำเร็จอภิญญาได้กสิณต่างๆ จนครบ ทั้งวิปัสสนากรรมฐานท่านก็ได้มา การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานใหม่ๆ นั้น หลวงพ่อสุ่นท่านได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ไว้ให้ปรากฏหลายอย่างเช่น วันหนึ่งหลวงพ่อสุ่นท่านให้หลวงพ่อปานรดน้ำมนต์ให้คนไข้ หลวงพ่อปานเห็นน้ำมนต์ในตุ่มเหลือน้อยแล้ว ก็จะไปตักน้ำมาทำน้ำมนต์เพิ่มอีก หลวงพ่อสุ่ท่านก็ห้ามไว้ท่านบอกว่า “ไม่ต้องไปตักหรอกปานเอ๊ย พ่อตักไว้ให้แล้วรดไปเถอะ”

    หลวงพ่อปานตักน้ำมนต์ในตุ่มรดคนไข้ ซึ่งหลวงพ่อปานเองมาเล่าให้ฟังภายหลังว่า วันนั้นรดน้ำมนต์ให้กับคนไข้ประมาณ 50 คน น้ำในตุ่มยังยุบไม่ถึงคืบ ตุ่มนั้นก็เป็นตุ่มเล็กๆ พอตอนหลังท่านไปถามหลวงพ่อสุ่นก็ได้รับคำ ตอบว่า “พ่อเอาใจตักแล้ว” จากนั้นท่านก็สอนวิชาใช้คาถาตักน้ำให้หลวงพ่อปาน ก็คือวิชาอาโปกสิณนั่นเอง

    หลวงพ่อสุ่นเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงมาก ท่านจะตรวจดูด้วยญาณทิพย์ของท่านเสมอ ก่อนที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แล้วก็รักษาตามโรคนั้น ผู้ป่วยที่มาให้หลวงพ่อรักษาจะหายกลับไปทุกราย ยกเว้นผู้นั้นไปไม่ไหวถึงฆาตจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ ในเรื่องของอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้น ท่านมักจะไม่ทำให้ผู้ใดเห็นเกรงว่าจะกลายเป็นพระผู้อวดคุณวิเศษไป นอกจากหลวงพ่อปานที่ขณะเรียนวิชาอยู่กับท่านเท่านั้น หลวงพ่อสุ่นอยู่วัดท่านก็ทำนุบำรุงซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆ ไปเรื่อยๆ ต่อเติมสิ่งที่ชำรุดไปทีละอย่างสองอย่างตลอด

    ปัจจัยที่ญาติโยมให้มาจากการรักษาโรคท่านก็นำมาซ่อมสร้างวัด จะปรากฏชัดเมื่อปลายๆ สมัยหลวงพ่อสุ่นประมาณปี พ.ศ.2403 ได้มีการก่อสร้างครั้งใหญ่อันมีหลวงพ่อสุ่น คณะสงฆ์ ทายกทายิกา ชาวบ้านต่างก็ร่วมมือกันทำนุบำรุงวางแผนผัง ก่อสร้างเสนาสนะภายในวัดต่างๆ กันใหม่ก็มีอุโบสถ มีลักษณะเป็นศิลปะแบบไทย ภายในมีภาพเขียนเรื่องราวประวัติของพระพุทธเจ้าฝีมือวิจิตรบรรจงสวยงาม ส่วนพระประธานพุทธลักษณะงดงาม ปัจจุบันทางวัดรื้อโบสถ์เก่าออก แล้วสร้างใหม่ขึ้นแทนเพราะของเก่าชำรุดทรุดโทรมเต็มที

    วิหารพระพุทธไสยาสน์ อยู่หน้าอุโบสถ ศาลาการเปรียญเป็นเสาไม้แบบไทยๆ สร้างใหม่ของเดิมสร้างเมื่อ พ.ศ.2494 ประดิษฐานรูปปั้น “บรมครูแพทย์ชีวกโกมารทัต” ด้วย ในยุคของหลวงพ่อสุ่นนั้น นอกจากท่านจะช่วยบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว ท่านยังเป็นพระเถระผู้มีความสามารถในทางเทศนาอบรมสั่งสอนสาธุชนอีกด้วย ท่านจะขึ้นเทศน์บนศาลาการเปรียญ ชาวบ้านทั้งไกลและใกล้จะเดินทางมาฟังธรรมจากท่านเป็นจำนวนมาก และก็มาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดก็ไม่ใช่น้อย

    วัดบางปลาหมอสมัยนั้นรุ่งเรืองมีผู้คนเข้าออกวัดแต่ละวันเป็นจำนวนมาก มีทั้งไปปฏิบัติธรรมและไปรักษาไข้ หลวงพ่อสุ่นท่านละสังขารเมื่อปี พ.ศ. อะไรไม่ปรากฏแน่ชัด นับว่าเป็นการสูญเสียพระอาจารย์รูปสำคัญของชาวบ้านย่านบางปลาหมอเลยทีเดียว ครั้นเมื่อสิ้นหลวงพ่อสุ่นไปแล้ว พระอธิการรูปต่อๆ มาขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทนวัดบางปลาหมอก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนยุคของหลวงพ่อสุ่น บางระยะวัดแทบจะร้างไปเลยก็มี เสนาสนะต่างๆ ชำรุดทรุดโทรมพังเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งท่านพระครูโกวิทวิหารการ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเข้ามารับหน้าที่แทน ท่านก็ระดมกำลังทั้งสติปัญญาและแรงกายบูรณะวัดให้ฟื้นขึ้นใหม่ จนกระทั่งวัดเข้ารูปรอยเดิมและรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม

    พระครูโกวิทวิหารการ เดิมชื่อประยุทธ ชินวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 บิดาชื่อสุนทร มารดาชื่อนางขาวผ่อง ชินวัฒน์ เป็นชาวตำบลน้ำเต้า อุปสมบทเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2512 ที่วัดโคกเสือ ตำบลบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี พระครูอดุลวรวิทย์(พระอดุลธรรมวาที) วัดบางซ้ายใน ตำบลเต่าเล่า อำเภอบางซ้าย อยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุยุต วัดบางนมโคเป็นพระอนุสาวนาจารย์ และพระครูสิริพัฒนกิจ วัดโคกเสือ อำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    พระครูโกวิทวิหารการ เข้าศึกษาเล่าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนวัดน้ำเต้า จนจบชั้น ประถมปีที่ 4 หลังจากนั้นก็อุปสมบทแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนทางธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมโทเมื่อปี พ.ศ.2514 ที่สำนักเรียนวัดโคกเสือ ต่อมาปี พ.ศ.2519 ได้มารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ และขึ้นเป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 เมื่อท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ก็พัฒนาวัดบางปลาหมอเป็นการใหญ่ จนทุกวันนี้วัดบางปลาหมอสวยงามเจริญรุ่งเรือง นับว่าท่านเป็นพระนักพัฒนาอีกรูปหนึ่ง ที่สามารถบูรณะวัดที่ชำรุดทรุดโทรมมากให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้

    สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อสุ่นนั้น เท่าที่สอบถามและค้นพบมา ทราบว่าท่านได้ จัดสร้างพระเนื้อดิน 3 แบบคือ พิมพ์กลีบบัว,พิมพ์กลีบบัฟันปลา, พิมพ์กลีบบัวปลายแหลม เป็นพระที่หายากมาก ชาวบ้านบางปลาหมอให้ความนับถือ ใครมีต่างก็หวงแหนอย่างที่สุด เพราะมีประสบการณ์มากมายในเรื่องของความคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย คุ้มครองเคหะสถานบ้าช่อง เรื่องลมพายุนั้น เล่ากันว่าใครมีพระเครื่องของหลวงพ่อสุ่น สามารถป้องกันภัยจากลมพายุฝนฟ้าคะนองได้ดีเยี่ยม เรื่องแคล้วคลาดคงกระพันชาตรีก็ไม่เป็นรองใคร วัตถุมงคลของหลวงพ่อสุ่นนั้นมีคนรู้จักน้อยมาก เพราะชื่อเสียงท่านไม่ขจรขจายเป็นเพียงพระเกจิอาจารย์ดังในท้องถิ่น พระแต่ละรุ่นมีดังนี้

    พระพิมพ์กลีบบัว เล่าว่าปี พ.ศ.2494 เจดีย์องค์หน้าโบสถ์หลังใหม่ สร้างสมัยหลวงพ่อสุ่นเกิดแตกร้าว กรุพระเครื่องเนื้อดินเผาที่หลวงพ่อสุ่นสร้างบรรจุไว้แตกออกมา ชาวบ้านพบเห็นเข้าจึงเก็บเอาไปมากบ้างน้อยบ้าง พอทางวัดทราบเรื่องกรุพระกลีบบัวแตกก็รีบไปเก็บมารักษาไว้ แต่ก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ลักษณะของพระพิมพ์กลีบบัว เป็นทรงแบบกลีบบัว เนื้อพระสีแดง แบบพระเนื้อดินเผาทั่วไป กับอีกสีหนึ่งคือสีดำเนื้อละเอียด พุทธลักษณะด้านหน้าเป็นองค์พระปฏิมานั่งปางสมาธิเพชร พระพักตร์กลม ไม่มีพระเนตรและพระโอษฐ์ ลักษณะลำพระองค์กลมหนา พระชานุ(เข่า) โตทั้งสองข้าง ไม่มีอาสนะเนื้อพระแห้งสนิทอัดแน่น

    พระพิมพ์กลีบบัวฟันปลา กรุแตกออกมาเมื่อครั้งที่พระครูโกวิทวิหารการ เจ้าอาวาสทำการรื้อวิหารพระพุทธไสยาสน์องค์เล็กที่ชำรุดทรุดโทรมสมัยหลวงพ่อสุ่นสร้างไว้ ทางวัดต้องการบริเวณที่ดังกล่าวสร้างฌาปนสถาน เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2528 ปรากฏว่าพบพระพิมพ์กลีบบัวฟันปลา บรรจุอยู่ในตุ่มใบเล็กๆ ตรงช่วงหมอนรองรับพระเศียรของพระพุทธไสยาสน์ในตุ่มมีพระ อยู่ 300 องค์เท่านั้น ท่านเจ้าอาวาสจึงเอาออกมาให้แก่ผู้ที่มาขอบูชา รายได้ทั้งหมดนำไปตั้งเป็นกองทุน “มูลนิธิหลวงพ่อสุ่น” และพระก็หมดไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
    ลักษณะพระพิมพ์กลีบบัวฟันปลานี้คล้ายกับพิมพ์กลีบบัว แต่ด้านบนสุดจะป้านไม่แหลมเหมือนกลีบบัว เรียกว่าไม่ได้ตัดกรอบพิมพ์นั่นเอง ฐานล่างใต้อาสนะเป็นกลีบบัวเล็กๆ สลับกัน องค์พระอวบหนา พระชานุโต(เข่า) พระพิมพ์กลีบบัวปลายแหลม คล้ายพิมพ์กลีบบัวเนื้อพระออกแห้ง สีนั้นบางองค์ออกแดงออกเหลืองบางองค์ก็มีดำแทรกเนื่องจาก เวลาเผาพระสุดแล้วแต่ว่าองค์ไหนจะอยู่ใกล้ไกลไฟเผามากน้อยแค่ไหน พระจะปรากฎคราบกรุจากดินปลวกบ้างประปราย แต่บางองค์ก็ไม่มี นอกจากพระเนื้อดินที่หลวงพ่อสุ่นจัดสร้างขึ้นมาแล้ว ทางวัดบางปลาหมอยังได้จัดทำเหรียญของหลวงพ่อสุ่นออกมาอีกหลายรุ่น เหรียญรุ่นแรกทำเมื่อปี พ.ศ.2508 เป็น เหรียญเสมาหลวงพ่อสุ่นเนื้อทองแดงเหรียญนี้

    ท่านพระครูสิริพัฒนกิจ วัดโคกเสือสมัยที่มารักษาการเจ้าอาวาส ตอนนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสังฆรักษ์สงุ่น เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างขึ้นมา มีเนื้อเงินกับเนื้อทองแดง ต่อมาปี พ.ศ.2520 เมื่อ ครั้งที่พระครูโกวิทวิหารการ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดบางปลาหมอ อย่างเป็นทางการ ท่านก็ได้จัดสร้างเหรียญเสมาเนื้อทองแดงขึ้นมาเป็นที่ระลึก ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อสุ่นนั่งเต็มตัว ด้านหลังเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นเหรียญสองหน้าสวยงามมาก

    ในปี พ.ศ.2526 ทางวัดจัดสร้างเหรียญขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง เป็นเหรียญที่ระลึกหารายได้ บูรณะซ่อมแซมพระพุทธไสยาสน์ เป็นเหรียญอาร์มเนื้อทองแดง ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อสุ่น ครึ่งองค์ด้านหลังเป็นยันต์ระบุวันที่จัดสร้าง 13 พฤศจิกายน 2526

    ปีพ.ศ. 2532 จัดสร้างรูปหล่อหลวงพ่อสุ่น เนื้อทองแดงหน้าตัก 5 นิ้ว และรูปหล่อชุด 3 คณาจารย์มีหลวงพ่อจง หลวงพ่อสุ่น และหลวงพ่อปาน นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อลอยองค์เล็ก เนื้อเงินแท้กับเนื้อทองแดง และเหรียญ 5 เหลี่ยมเนื้อทองแดงอีก 1 ชุด วัตถุมงคลที่กล่าวมาทั้งหมดขณะนี้แทบไม่มีแล้ว โดยเฉพาะพระเนื้อดินหายากมาก ใครพบเห็นที่ไหนเก็บไว้ให้ดีๆ เถิด จะเป็นสิริมงคล แก่ตนเองยิ่งนัก

    วัดบางปลาหมอการคมนาคมสมัยก่อน จะต้องนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำน้อยไปวัด สมัยนี้ทางรถเข้าถึงวัดแล้ว ตั้งต้นสี่แยกเสนา จากปทุมธานี เรื่อยไปถึงสี่แยกเสนาจะมีไฟเขียวไฟแดงให้ตรงไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน้อยแล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนเข้าหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตรถึงวัด แต่ถ้าถึงสี่แยกเสนาตรงไฟเขียวไฟแดงแล้วเลี้ยวขวาไปทางอยุธยา จะผ่านปากทางเข้าวัดบางปลาหมอเลยไปประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงทางเข้าวัด ไปทางนี้ต้องจอดรถเอาไว้แล้วไปขึ้น กระเช้าข้ามแม่น้ำน้อยเข้าวัด


    ขอขอบคุณที่มา...http://www.mongkolsoros.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=120

    ---> https://palungjit.org/threads/เสกใบ...สถ์กินปลาในสระกันอย่างอิ่มนานนับเดือน.644579/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2022
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๖๐.บุญนำพา ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Nov 24, 2022
    เรื่องราวของบุญที่นำพาให้ชีวิตของเด็กพร้าชาวเมืองมีด ได้กลับกลายเป็นชีวิตที่รุ่งเรืองด้วยความดี.

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงพ่อเสือดำ(หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร)
    สำหรับข่าวที่สร้างความฮือฮา และทำให้หลวงพ่อเสือดำเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อาทิ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อเสือดำได้ทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลหลายชนิด ในปี 2550 อาทิ จตุคามรามเทพ รุ่นย้อนยุค เหรียญรัชกาลที่ 5 พระสมเด็จ และเข็มกลัดนะพุทธลือชา ซึ่งเป็นยันต์เมตตามหานิยมของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ที่เตรียมแจกจ่ายให้กับประชาชน โดยในครั้งนั้น ก่อนทำพิธีหลวงพ่อเสือดำได้ประกาศว่า จะเสกวัตถุมงคลให้กระโดดในบาตรที่อุ้มไว้ในมือ โดยท่านได้แสดงอิทธฤทธิ์ จนประจักษ์แก่สายตาของชาวบ้านที่มาร่วมพิธีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีผู้ศรัทธาในหลวงพ่อเสือดำมากยิ่งขึ้น

    24312492_1494223060698218_780747745108667582_n-jpg.jpg

    เคยมีคนถามเรื่องเวทมนต์คาถา หลวงพ่อเสือดำ ยอมรับว่า มีเวทมนตร์คาถาอาคมจริง ไม่งั้นก็คงถูกยิงตายไปแล้ว อาตมามีคาถาหลายอย่าง เช่น คาถาคลาดแคล้ว คงกะพันชาตรี หายตัวได้ ซึ่งมักจะมีผู้ที่มาลองของอยู่บ่อย ๆ เช่น เอาปืนมายิง สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ปืนยิงไม่ออก

    หลวงพ่อเสือดำ ยังเคยบอกด้วยว่า หลวงพ่อไปเรียนคาถาอาคมต่าง ๆ มาจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ, หลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ซึ่งเป็นอาจารย์เดียวกับขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดังด้วยเช่นกัน
    นอกจากนี้ หลวงพ่อเสือดำยังได้ให้คาถาต่าง ๆ เอาไว้ด้วยดังนี้

    คาถาอยู่ยงคงกระพัน

    สัธธาธะนุง อาธาธิตุง ทัดตะวานาธาสิ อุมะอะปิดอะอึอุ

    เมตตามหานิยม

    อิทะคะมะ อิทิเจ ตะโส ธันหาหิ ธามะสา สัตถาเทวะ ...เห็นหน้ากูทุกคน สานัง พุทโธภควาติ

    คาถามหาอุตม์

    สัตถาธะนุง อาคาทิตุง ธัตวา นาธาสิ อุมะ อะปิต อะอึอุ
    :- https://www.naewna.com/likesara/599213
    ประวัติหลวงปู่เสือดำ

    หากกล่าวถึงเกจิอาจารย์ชื่อดัง ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงตั้งแต่ครั้งอดีต มาจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้นต้องมีนามของ พระทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร หรือ หลวงพ่อเสือดำ อดีตจอมโจรเลื่องชื่อสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ได้กลับตัวกลับใจ หันหน้าเข้าสู่เส้นทางสายธรรมะอย่างเต็มตัว และได้สร้างคุณประโยชน์นานัปประการต่อสังคมมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้รู้จักประวัติหลวงพ่อเสือดำ และความเป็นมาของพระทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร หรือ หลวงพ่อเสือดำ มากขึ้น

    จากตำนานจอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งร่วมสมัยเดียวกับ เสือใบ เสือฝ้าย เสือมเหศวร โดย นายระพิน หนึ่งในจอมโจรชื่อดังผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ ได้รับฉายาว่า เสือดำ เนื่องจากจากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และการใช้ปืนคู่เป็นอาวุธ ทั้งนี้ เนื่องจากเวลาออกปล้น เสือดำ จะประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ และปล้นด้วยความสุภาพ โดยนิยมปล้นแต่คนรวย เพื่อนำไปช่วยเหลือคนยากจน ทำให้มีผู้เรียกขานนามของเสือดำในอีกฉายาหนึ่งว่า สุภาพบุรุษเสือดำ

    กระทั่งในเวลาต่อมา เสือดำ ถูกปราบด้วยขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจมือปราบชื่อดัง โดยขุนพันธ์ฯ ได้ให้โอกาสเสือดำกลับตัว เสือดำจึงไปบวชกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น และถือครองสมณเพศมาจนถึงทุกวันนี้

    ปัจจุบัน เสือดำ คือ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ที่ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมจนแก่กล้า พร้อมเจริญรอยตามพระอาจารย์ทุกประการ โดยชาวบ้านมักเรียก หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร กันอย่างติดปากว่า หลวงพ่อเสือดำ ทั้งนี้ เนื่องจากหลวงพ่อเสือดำ มีอายุมากกว่า 108 ปีแล้ว แต่สุขภาพยังคงแข็งแรงอยู่ จึงมักได้รับเชิญไปเป็นประธานในพิธีเสกวัตถุมงคลเสมอ นอกจากนี้ หลวงพ่อเสือดำยังดำเนินโครงการสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งสร้างวัด สร้างโรงเรียน เปิดโรงเรียนฝึกอาชีพ และตั้งโรงพยาบาลรักษาพระสงฆ์อาพาธ

    สำหรับข่าวที่สร้างความฮือฮา และทำให้หลวงพ่อเสือดำเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อาทิ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อเสือดำได้ทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลหลายชนิด ในปี 2550 อาทิ จตุคามรามเทพ รุ่นย้อนยุค เหรียญรัชกาลที่ 5 พระสมเด็จ และเข็มกลัดนะพุทธลือชา ซึ่งเป็นยันต์เมตตามหานิยมของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ที่เตรียมแจกจ่ายให้กับประชาชน โดยในครั้งนั้น ก่อนทำพิธีหลวงพ่อเสือดำได้ประกาศว่า จะเสกวัตถุมงคลให้กระโดดในบาตรที่อุ้มไว้ในมือ โดยท่านได้แสดงอิทธฤทธิ์ จนประจักษ์แก่สายตาของชาวบ้านที่มาร่วมพิธีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีผู้ศรัทธาในหลวงพ่อเสือดำมากยิ่งขึ้น

    สำหรับประวัติของหลวงพ่อเสือดำโดยละเอียดนั้น ท่านสามารถอ่านได้จากหนังสือ สุภาพบุรุษเสือดำ หนังสือชีวประวัติโดยละเอียดของหลวงพ่อเสือดำ โดยการร่วมบุญ สมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วยหลังใหม่ โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ชุตินธโร สนใจติดต่อได้ที่ สนใจติดต่อได้ที่ Inbox ของเพจ หรือ เบอร์โทร 081-8231076
    :-
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ธุดงค์ป่าหฤโหด ตอนที่ 2

    หลวงตา
    Nov 29, 2022
    ธุดงค์ป่าหฤโหด ตอนที่ 2 บันทึกจากประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ลึกลับ เปรตสวนมะม่วง

    thamnu onprasert
    69,926 views Nov 26, 2022
    เรื่องราวลึกลับของกฏแห่งกรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเปรตในสวนมะม่วงกลางป่าหิมพานต์
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงตามหาบัว เมตตาช่วยดวงวิญญาณขึ้นจากขุมนรก

    ปู่ดอน station
    Nov 22, 2022
    มีครอบครับอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านเป็นคนชอบกินเหล้า กระทั่บเขาได้เสียชีวิตลง หลังจากเสียชีวิตลงแล้ว ดวงวิญญาณของเขาก็ถูกตัดสินให้ตกนรก ในขุมนรกกะทะทองแดง ขณะที่เขากำลังจะโดนเอาน้ำในกะทะทองแดงกรอกปากอยู่นั้น พลันก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาดึงเขาเหวี่ยงออกไปจากที่นั้น ซึ่งพระภิกษุรูปนี้ก็คือ..”หลวงตามหาบัว”นั่นเอง..
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๖๑.หนี้กรรมที่เมืองสู้ ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Dec 2, 2022

    เรื่องราวพิศวงหนี้กรรม ทำไมลูกบางคนเกิดมาล้างผลาญ และทำไมลูกบางคนเกิดมากตัญญู อุดหนุนเกื้อกูลพ่อแม่
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpkaowkemaramo.jpg
    ประวัติย่อหลวงปู่ขาว เขมาราโม วัดหลักสี่
    หลวงปู่ขาว เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดหลักสี่ ตั้งแต่ เริ่มสร้างวัดมา โยมบิดา-มารดาของท่านไม่ทราบชื่อ เป็นชาวบางเขนโดยกำเนิด เป็นเชื้อสายชาวรามัญ ได้ก่อสร้างวัดหลักสี่ ต่อจากพระอาจารย์เริ่ม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 1 วัดได้มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยหลวงปู่ขาว ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญ สร้างมณฑป สร้างพระสถูปเจดีย์ เพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และได้ยกที่ดินส่วนหนึ่งทางด้านทิศตะวันตก ให้เป็นที่ขุดคลอง เพื่อเป็นทางสัญจรไปมาทางน้ำ (คลองเปรมประชากรในปัจจุบันนี้) ได้สร้างเสาหงส์รอบวัดหลักสี่ เพื่อห้อยโคมไฟให้มีความสว่างในบริเวณวัด

    เมื่อทางบ้านเมืองได้ขุดคลองนี้สำเร็จแล้ว พระพุทธเจ้าหลวง (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นเจ้าพิธีทรงเปิดคลองเปรมประชากรทางชลมารค พระองค์ทรงได้ประทับที่พลับพลาโคนต้นมะขวิด เพื่อนมัสการหลวงปู่ขาว เขมารามเถระ ที่ใกล้พลับพลาที่ประทับนั้น (ต้นมะขวิดนั้นปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัดหลักสี่)

    หลวงปู่ขาวชอบเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะไก่เป็นพิเศษ และเป็นพระนักพัฒนาในยุคนั้น ท่านพัฒนาทั้งทางศาสนวัตถุ และจิตใจ เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยมิได้ขาดเป็นประจำ บริกรรมถอดพระคาถายันตรีนิสิงเห ยันต์นี้จึงเป็นยันต์นิมิตในจิตภาวนาคาถาของหลวงปู่ขาวมาโดยตลอด

    หลักฐานมีอยู่ว่า เมื่อก่อนหลวงปู่ขาวจะมรณภาพ หลวงปู่ท่านได้สร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญ ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนทรงรูปไข่ ด้านหลังลงยันตรีนิสิงเห สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 มีเนื้อเงิน เนื้อทองแดง นับเป็นวัตถุมงคลหลวงปู่ขาวรุ่นแรก (รุ่นนี้ ขณะนี้บูชากันเรือนแสน ที่รูปสวยๆ และมีสร้างรุ่นหล่อรูปอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2496 นับเป็นรุ่นที่ 2 สมัยเมื่อพระครูสุเมธวรวัฒน์เป็นเจ้าอาวาส)

    หลวงปู่ขาว ได้พัฒนาวัดหลักสี่มาโดยตลอด จนกระทั่งท่านได้อาพาธลง และมรณภาพลง โดยมีคำเล่าขานว่าเมื่อขณะท่านนอนอาพาธอยู่ ได้ฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธคุณ จนตลอด เมื่อครบ 19 ครั้งแล้ว หลวงปู่ขาวก็สิ้นลมหายใจถึงแก่มรณภาพลง ขณะนั้นตะเกียงที่จุดให้แสงสว่าง ตั้งอยู่ที่เฉียงศีรษะของหลวงปู่ขาวก็ลุกเป็นเปลวลูกไฟขึ้น เปลวไฟนั้นก็หายไปในอากาศ

    หลวงปู่ขาวเป็นพระเกจิชื่อดัง ในยุครัชกาลที่ 5 และหลวงปู่ขาวก็มีชื่ออยู่ในทำเนียบของเกจิ 10 องค์ ที่ดังอยู่ในปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2024
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2022
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่บุดดา ผู้ถือธุดงค์

    หลวงตา
    Dec 6, 2022
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๑๓๔.ลึกลับผีหลวง ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    Dec 7, 2022

    ชาวบ้านห้วยมะลิด กลางหุบเขาลึกในป่าเมืองฮอด ตกอยู่ในอำนาจของผีหลวงเป็นเวลานานถึง ๕ ปี ส่างอุ่นเปิงไปช่วย พวกเขาจึงได้พ้นจากความทุกข์นั้น.
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อธิษฐานผิด เกิดโทษ

    thamnu onprasert
    Dec 9, 2022
    อธิษฐานถูกต้องดีงาม นำความสุขความเจริญมาสู่ชีวิต แต่หากอธิษฐานผิด ย่อมเกิดความทุกข์ติดตามมาในภายหลัง.
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ประวัติผู้ค้นพบและพัฒนาถ้ำสุมะโน

    พระอาจารย์เดชได้บวชเป็นพระ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๖ โดยพระครูสาทรคณารัก (หลวงพ่อก้อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เงินเป็นกรรมวาจาจารย์ และพระมหาธนิต ปญฺญาปสุโต ป.ธ 9 เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ซึ่งพระมหาธนิตเป็นพระที่เก่งทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรมองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก และเป็นที่เคารพของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาย และตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งภาคอีสานและภาคกลาง เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และปี ๒๕๐๐ ออกธุดงค์ จนปี ๒๕๓๑ จึงถึงมรณภาพ ศพบำเพ็ญที่สำนักปฏิบัติธรรมวัดประโดก จังหวัดนครราชสีมา

    พระอาจารย์เดช สุมโน เมื่อออกบวชแล้วออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม ๕ พรรษา แล้วหันเข้ามาศึกษาปริยัติธรรม ๗ พรรษา จบนักธรรมชั้นเอก อภิธรรมมัชฌิมเอก ออกธุงค์อีก ๒ พรรษา จึงพบถ้ำสุมะโนที่จังหวัดพัทลุง และจำพรรษา เป็นประธานดำเนินการพัฒนาถ้ำครั้งแรก วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐ จนถึงปัจจุบัน

    prakru.jpg
    ประวัติ พระครูภาวนาสุมณฑ์

    (พระอาจารย์เดช สุมโน)


    พระอาจารย์ เดช สุมโน เกิดวันที่ ๖ มกราคม ๒๔๙๔ ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านปอแดง ตำบลภูหลวง อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา บิดาชื่อนายทราย หอกกิ่ง มารดาชื่อ นางสิน หอกกิ่ง มีพี่น้องร่วมอุทรจำนวน 6 คน เป็นบุตรคนที่ ๑ มีอาชีพทำไร่-ทำนา ซึ่งนับว่าครอบครัวมีฐานะค่อนข้างดีในละแวกนั้น บรรพบุรุษล้วนแล้วแต่เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม และบวชรับใช้พระศาสนาสืบต่อเนื่องกันมา เช่น พระน้าชาย (น้องชายแม่) ของพระอาจารย์เดช บวชเป็นพระและเป็นเจ้าอาวาสวัดปอแดง (ลาออกจากเจ้าอาวาสไปธุดงค์)ปัจจุบันบิดาก็บวชเป็นพระ ชื่อ หลวงพ่อ “ทราย” มารดาชื่อสิน ก็ปฏิบัติธรรมบวชเป็นชีพราหมณ์
    พระอาจารย์เดชได้บวชเป็นพระ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๖ โดยพระครูสาทรคณารัก (หลวงพ่อก้อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เงินเป็นกรรมวาจาจารย์ และพระมหาธนิต ปญฺญาปสุโต ป.ธ 9 เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ซึ่งพระมหาธนิตเป็นพระที่เก่งทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรมองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก และเป็นที่เคารพของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาย และตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งภาคอีสานและภาคกลาง เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และปี ๒๕๐๐ ออกธุดงค์ จนปี ๒๕๓๑ จึงถึงมรณภาพ ศพบำเพ็ญที่สำนักปฏิบัติธรรมวัดประโดก จังหวัดนครราชสีมา

    พระอาจารย์เดช สุมโน เมื่อออกบวชแล้วออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม ๕ พรรษา แล้วหันเข้ามาศึกษาปริยัติธรรม ๗ พรรษา จบนักธรรมชั้นเอก อภิธรรมมัชฌิมเอก ออกธุงค์อีก ๒ พรรษา จึงพบถ้ำสุมะโนที่จังหวัดพัทลุง และจำพรรษา เป็นประธานดำเนินการพัฒนาถ้ำครั้งแรก วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐ จนถึงปัจจุบัน
    ขอบพระคุณที่มา:- https://www.วัดถ้ําสุมะโน.com/about/2
    coin lpdechsumano.jpg
    :--> http://www.phantippowertools.info/amulet/antig257/?prdid=3716&cateid=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2023

แชร์หน้านี้

Loading...